เดินเตร็ดเตร่ เช็กอินแลนด์มาร์ค พร้อมกินของอร่อยจุใจให้สมกับไปถึงสเปน
ผมอยู่ท่ามกลางสแควร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมืองมาดริด (Plaza Mayor) ตอนนั้นเป็นเวลาราว ๆ 8-9 โมงตามเวลาท้องถิ่น (ช้ากว่าไทยราวๆ 6 ชั่วโมง) พลาซ่ามายอร์เป็นจัตุรัสที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศสเปน มีลักษณะเป็นอาคารทรงยุโรปล้อมรอบกันเป็นสีเหลี่ยม ตรงกลางเป็นรูปปั้นพระเจ้าฟิลลิปเปที่ 3 ทรงม้า เวลานั้นยังถือว่าเช้ามากสำหรับคนที่นี่ เพราะที่นี่ยังสงบเงียบแทบไม่มีผู้คนสัญจร ทว่านักท่องเที่ยวไทยคนหนึ่งติดนิสัยตื่นเช้า เลยอดออกมาชมเมืองไม่ได้ อากาศที่หนาวราว 4 องศาเซลเซียส กอปรกับความหิวและฝนตกปรอยๆ ผมตัดสินใจอย่างไม่ลังเลว่าผมต้องย้ายตัวเองไปนั่งร้านกาแฟ หาเครื่องดื่มร้อนๆ ทานระหว่างรอฝนหยุด
[Plaza Mayor]
ผมเตร็ดเตร่มาเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าจะผ่านร้านอาหารมาเยอะมาก แต่ด้วยความที่คนกระจุกตัวอย่างคับคั่งในแต่ละร้านซึ่งผิดกับข้างนอกที่มีคนประปรายทำให้ผมไม่ได้เลือกสักร้าน นี่คงเป็นเหตุผลที่คนข้างนอกไม่ได้เยอะนัก กระทั่งผมมาหยุดตรงร้านๆหนึ่ง ภายในตัวอาคารพลาซ่ามายอร์ ลักษณะภายนอกเป็นร้านเล็กๆ สไตล์คลาสสิก คนไม่พลุกพล่านมากนัก และส่วนใหญ่เป็นโต๊ะเดี่ยว ผมจึงก้าวเข้าไปที่ร้านอย่างไม่ลังเล
“โอลา” เจ้าของร้านทักทายด้วยภาษาสเปนอย่างเป็นมิตรพลางกลับด้านขนมบางอย่างที่ทอดในกระทะอยู่ (แอบกระซิบว่าคนที่นี่พูดคำว่า โอ๊ลา ถี่มากๆ เหมือนกับว่าถ้าจะเริ่มบทสนทนาแรกกับคนแปลกหน้าเขาเริ่มด้วยคำนี้หมด ฟีล ๆ ทักทายมากกว่าแค่สวัสดี) บอกก่อนว่าผมไม่ได้ภาษาสเปน พอพูดได้บ้างกับจากแค่จำประโยคมาจากพวกหนังสือท่องเที่ยว หรือจากไกด์เว็บพวกนั้นมากกว่า
“อาบัสอิงเกลส?” นึกแล้วขำ เพราะผมถามคนสเปนว่าพูดอังกฤษได้ไหม ด้วยภาษาสเปน 555 สังเกตจากหน้าคู่สนทนาแล้วคงเดาไม่ยากว่ากำลังงง
“โน” โอเครู้เรื่อง 5555 คือจริงๆ เขาไม่ใช่ว่าพูดไม่ได้เลย ก็พูดได้บ้างสักเล็กสักน้อย ฟีลๆ เอาไว้รับลูกค้า ผมสั่งอาหารและมานั่งรอตรงโต๊ะ รู้สึกค่อยยังชั่วที่ภายในร้านมีความอบอุ่นจากเครื่องทำความร้อน
และแล้วชูโรสมื้อแรกก็มาเสิร์ฟ เป็นชูโรสสีเหลืองทองที่เสิร์ฟมาคู่กับช็อกโกแลตร้อนข้นๆหนึ่งถ้วย (ราคาราว ๆ 10 ยูโร) กลิ่นหอมแป้งทอดร้อนๆผสมกับกลิ่นวนิลาทำให้ผมไม่ลังเลที่จะหยิบมาชิม
…ชิมเปล่า ๆ ก่อนก็แล้วกัน
ชูโรสอุ่นๆ กำลังดี สัมผัสแบบกรอบนอกนิด ๆ นุ่มหนึบใน มีรสหวานหน่อยๆกำลังดี หอมกลิ่นวานิลาอบอวลในปากอะ ผมจ้วงคำต่อไปลงในถ้วยช็อกโกแลต ก่อนจะเอาเข้าปากอีกรอบ โอ้โหหหหห ร้อน 5555
ไม่ใช่ 5555
อร่อยแบบ อร่อยมากกก ชูโรสกรอบนุ่ม พอทานคู่กับช็อกโกแลตข้นๆ กลิ่นวานิลากับกลิ่นช็อกโกแลตมาเจอกันมันแบบ เหมือนชีวิตนี้ไม่ได้อยากมีเนื้อคู่แล้วอะ หยอกกก มันลงตัวมากจริงๆฮะ ส่งชูโรสเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพได้ไหม
แกเป็นแค่แป้งทอดแกต้องทำให้เราใจเหลวได้ขนาดนี้เลยเหรอ 555 ตอนนั้นคือแบบ ห่อกลับไทยด้วยได้ไหม อยากให้คนที่ไทยได้กินมาก ผมจ่ายเงินด้วยบัตร Travel card ก่อนเดินกล่าวลาเจ้าของร้านและขอบคุณที่เขาอุตส่าห์ต้อนรับเราเป็นอย่างดี เสียดายว่าผมไม่ได้จำชื่อร้าน แต่ร้านอยู่ตรงพลาซ่ามายอร์ฝั่งด้านหลังรูปปั้นพระเจ้าฟิลลิปเป รู้สึกว่าจะเป็นมุมที่มีสำนักงานอะไรสักอย่าง แถวๆมุมนั้น (ช่วยได้มากกก 5555)
ชูโรส
มาถึงมาดริดแล้วผมก็ไม่พลาดที่จะไปเช็คอินสถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของมาดริด ตรงนี้อยู่แถวๆสถานี Puertra Del Sol (อันที่จริงอยู่ไม่ไกลจากพลาซ่ามายอร์)เป็นประติมากรรมหมีปีนต้นสตรอว์เบอร์รี่ (Oso y el Madroño) ถามคนแถวนั้นเขาบอกว่า เออ แต่เดิมมาดริดเคยมีหมีชุกชุม ในขณะเดียวกันที่นี่เองก็เคยเป็นเหมือนป่าสตรอว์เบอร์รี่ด้วย หมีปีนต้นสตรอว์เบอร์รี่จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของมาดริด พูดจบแล้วเขาก็ชี้ไปที่ตูดของหมี เหมือนจะให้เราสังเกตจุดที่มันเป็นปื้นสีทองๆ ผมสังเกตแล้วเลยอ๋อ เพราะประติมากรรมชิ้นนี้เป็นสีดำก็จริง แต่เป็นสีดำที่น่าจะมาจากการทาสีทับหรือไม่ก็เป็นพวกโลหะสำริดที่ผ่านเวลามานานจนมันกลายเป็นสีนี้ และที่ตรงนั้นเป็นสีทองก็เพราะนักท่องเที่ยวมากมายมหาศาลต่างก็เข้าไปลูบตรงนั้นด้วยความเชื่อที่ว่าจะโชคดี ถามว่าผมจะเชื่อไหม
ไม่เหลือ 555
Oso y el Madroño
สายๆ หน่อยผมเดินต่อไปแหล่งของกินที่สำคัญที่ผมกล้าพูดว่านักท่องเที่ยวที่มามาดริดเกินครึ่งต้องมาที่นี่แน่นอน เพราะที่นี่อาหารหลากหลาย สะอาดด้วย อาหารที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารพวกทาปาส (tapas) ที่เป็นจานเล็กๆ เป็นไม้เสียบ (pincho) รวมถึงเป็นพวกผลไม้รวมใส่แก้ว จนกระทั่งบาร์ แต่ราคาแอบแรงพอสมควร
Mercado de Sanmiguel
ออกจากตลาดผมก็ได้เตร็ดเตร่ไปทั่วเมือง มาดริดนี่เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์มากๆ เลย ทั้งในแง่สถาปัตยกรรม ร้านอาหาร บาร์ทาปาสแบบแน่น แถมยังมีความหลากหลายอีกต่างหาก ผมเดินเล่นทั่วเมืองแบบไม่มีหมุดหมายจนมมาถึงพลาซ่า เด โคลอน (Plaza de Colón) ซึ่งเป็นอีกจัตุรัสที่สำคัญของเมืองมาดริด ภายในพื้นที่เราจะสามารถสังเกตประติมากรรมหัวคนขนาดใหญ่ (Julia) ในขณะเดียวกันภายในบริเวณนี้ยังเป็นพื้นที่ที่แสดงถึงอนุสรณ์ของคริสโทเฟอร์ โคลัมบัส บุคคลที่พาประเทศสเปนเข้าสู่สเปนยุคใหม่อีกด้วย ซึ่ง Colón เป็นชื่อของคริสโทเฟอร์ โคลัมบัสตามภาษาสเปน (Cristóbal Colón)
Plaza de Colón และ Julia
และแล้วฝนก็พาให้ผมมาหยุดอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลจากพลาซ่า เด โคลอน จุดนี้ทั้งหิวและหนาวมากๆ จนต้องหาที่หลบ ผมไม่ได้ตามรีวิวอะไรนัก เพราะรู้สึกว่ามันยากที่จะต้องไปตามหาร้านในสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคย ปล่อยจอยเท่านั้น อร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้างถือว่าเป็นประสบการณ์ แม่หนูแผนกต้อนรับที่หน้าร้านกล่าวทักทายด้วยความยิ้มแย้ม ผมเปิดดูเมนูอาหารหน้าร้านก่อนจะเดินเข้าไปนั่งตรงหน้าบาร์ สาวน้อยคนเดิมเดินมาแนะนำเมนูอาหารพร้อมทั้งแนะนำเรื่องการวางกระเป๋า การเก็บสัมภาระต่างๆให้ปลอดภัย ผมถามเรื่องอาหารที่แนะนำที่นี่มีอะไรบาง เธอแนะนำมาสองสามอย่าง แต่ตาผมก็เหลือบไปเห็นพริกที่วางอยู่ในเคาน์เตอร์บาร์ เป็นพริกเขียวๆใหญ่กว่าหัวแม่มือหน่อย เคยได้ยินว่าสเปนมีพริกอันหนึ่งที่ควรลอง ผมไม่รู้ว่าใช่ไหมเลยถามออกไปว่าทำยังไงถึงจะได้กินพริกอันนี้
สาวน้อยอธิบายว่ามันจะเป็นเมนูนี้ พร้อมพลิกไปหน้าหนึ่ง เป็นพริกย่าง (Padrón pepper) ราคาราวๆ 20 ยูโร (เอามือทาบอก พริกย่างจานละเกือบ 800) ผมสั่งมาพร้อมกับพวกตอติย่า (tortilla) ที่เป็นไข่เจียวมันฝรั่ง (เกือบๆ 10 ยูโรมั้ง) พร้อมกับหนวดหมึกยักษ์เสียบไม้ (5 ยูโร) อื้ม แอบแพงอยู่ เพราะก่อนหน้าผมไปอยู่อีกเมืองมา ที่นั่นสามารถจบ 1 มื้อที่เป็นอาหารจานหลักได้ในราคา ราวๆ 10-15 ยูโร
สักพักพวกขนมปังและมะกอกดองก็มาเสิร์ฟ ปกติที่นี่จะเป็นบริการอยู่แล้ว เวลาเข้าร้านอาหารหรือบาร์ที่ไหนก็มักกจะมีสองอย่างนี้เสิร์ฟให้ตลอด แต่บางร้านจ่ายเงิน บางร้านฟรี อาจจะต้องดูดีๆ ใครไม่ทานก็ปฏิเสธได้เลย ผมรอไม่นานนักพริกย่างพร้อมอาหารจานอื่นก็มาเสิร์ฟ พริกย่างแบบตะโก้นนน จนใหญ่มากก คนเกลียดพริกเขียวอย่างผมนี่ถึงกับท้อเลย ใครไม่งงจะงงมาก เพราะมันเกลียดแล้วแต่ก็สั่งอะนะ เปิดใจ ฟิลๆจอยๆ เป็นพริกเขียวย่างสีเขียวๆไหม้ๆ เหมือนถูกย่างมาด้วยน้ำมันมะกอกเพราะมันมีความมันๆเล่นแสงเล่นเงาดีมาก มีโรยเกลือที่เป็นเกล็ดบางๆมา ผมไม่เคยเห็นเกลือนี้ที่บ้านเราเลยอะ
ผมชิมหมึกเสียบไม้มันแบบ หนึบๆ ทานคู่กับมะกอกดอง หอมดอง หนวดหมึกยักษ์มีความเค็มนิดๆ ส่วนพวกหอมดองหั่นรสชาติไปทางเปรี้ยวเค็มหวาน กัดมะกอกดองตบท้ายฝาดๆ มันๆ อร่อยดี มีครบทุกรสเลย จากนั้นผมขยับไปที่ตอติย่า เป็นไข่เจียวที่น่าจะเจียวแบบเป็นก้อนแต่ไม่ได้ชุ่มน้ำมัน แบบไข่เจียวคอนโดบ้านเราแล้วตัดซีกมา ไข่เจียวใส่มันฝรั่งหั่นเต๋าพอทอดแบบเป็นก้อนๆอะ ไข่มันมีความนุ่มนวล ไม่เค็มโดด นี่ยังแอบเชื่อว่าถ้าได้น้ำพริกกะปิก็น่าจะเข้ากันไม่น้อย
ต่อมาเป็นพระเอกของมื้อนี้ แอบผมทำใจอยู่ว่ะไหวไหม เพราะผมไม่ชอบกลิ่นพริกเขียวเลย แต่มันมาถึงแล้วมันต้องลองอะ ผมหยิบขึ้นมาทานทั้งกล้าๆกลัวๆนั่นแหละ ผมพิมพ์อยู่ยังนึกขำเลยเนี่ย 555
มันเป็นพริกที่สัมผัสนุ่มมากๆ กลิ่นเขียวไม่มีเลย ใช้คำว่าไม่มีเลย มีกลิ่นหอมกระทะย่าง กลิ่นน้ำมันมะกอกมาแทน พอเคี้ยวโดนเกลือที่เป็นเกล็ดๆแล้วมันยิ่งขับให้พริกมีรสชาติหวานมันกลมกล่อมมาก เคี้ยวเพลินมากบอกเลย ในเป็นพริกที่ไม่เผ็ดนะโดยปกติ แต่บางลูกจะมีความเผ็ดนิดๆตีขึ้นมาให้พอตกใจบ้าง 555 โดยรวมแล้วชอบมาก จนตอนนี้อยู่ไทยแล้วยังหาทานไม่ได้เลย และยังตามหาอยู่ตลอดเวลาไปร้านอาหารสเปนในไทย ซึ่งก็ไม่มี
แม่สาวน้อยเมื่อตอนต้นมีเดินมาถามเป็นระยะ เพราะก่อนหน้าผมบอกเขาไว้ว่าไม่ชอบกลิ่นพริกเขียว แต่เธอนั่นแหละที่เป็นคนเชียร์ให้ผมลอง ซึ่งตอนนี้เธอคอยถามตลอดว่าอยากได้ซอสอะไรไหมเผื่อทานง่ายขึ้น น่ารักมากๆ โดยรวมผมประทับใจมื้อนี้มากๆ ปลดล็อคสกิลการกินไปอีกเลเวล
Padrón pepper
มื้อเย็นผมฝากท้องไว้กับร้านอาหารไทยไม่แท้ร้านหนึ่งแถวโฮสเทล ที่เรียกแบบนั้นมันมีที่มาครับ
คือก่อนหน้าผมตั้งใจจะไปกินร้านข้าวผัดสเปนที่ได้มิชลินไกด์ แต่ผมไม่ได้จองไปเลยต้องเตร็ดเตร่กลับมาโฮสเทล พอได้คุยกับรูมเมทชาวอิตาเลียนที่เพิ่งเจอกัน เขาเล่าให้ฟังว่าเพิ่งไปกินผัดไทยที่ร้านอาหารข้างๆนี้มา อร่อยดีนะ ลองไปสิ (อิตาเลียนแนะนำคนไทยไปกินอาหารไทย เอาสิ)
มันก็น่าสนใจที่ว่าร้านอาหารไทยในสเปนจะเป็นยังไง เอาจริงคือผมมาอยู่ที่นี่ราวๆ สัปดาห์ยังไม่ได้รู้สึกอยากกินอาหารไทยเลย อาจจะเพราะอาหารสเปนเขาก็มีสีสัน มีรสชาติค่อนข้างหลากหลาย มีเสน่ห์ในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ แต่พอได้คุยกับรูมเมทคนนี้แล้วผมตัดสินใจไม่ยากเลยว่ามื้อค่ำมื้อสุดท้ายที่มาดริด ผมยกให้อาหารไทย
ผมเดินเข้าร้านพร้อมพนักงานเดินออกมาต้อนรับ เป็นคุณลุงวัยกลางคน แกพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ภาษาสเปนก็ไม่ได้เหมือนกัน ภาษาไทยยิ่งแล้วใหญ่ (เอ๊า…) แอบคาดหวังว่าจะเจอพี่คนไทยในร้านสักคน แต่ในร้านไม่มีคนไทยเลยสักคน ผมสั่งผัดไทยมาจานนึง กับน้ำเก๊กฮวยแก้วนึง ราคาน้ำเปล่าที่สเปนแพงมากก หลายมื้อจบที่น้ำองุ่นไม่ก็เก๊กฮวยเพราะราคาถูกกว่ามากๆ ในเมื่อมันถูกกว่าน้ำเปล่าแล้วทำไมถึงต้องเลือกน้ำเปล่าล่ะ 555 หยอก
อาหารมาเสิร์ฟ หน้าตาได้อยู่นะ เป็นเส้นคล้ายๆเส้นเล็กแหละ แต่หนากว่า น้ำมันชุ่มๆ ผมไม่ได้คาดหวังอะไรหรอกว่ามันจะต้องเหมือนของไทย เพราะพอมันอยู่ต่างประเทศอะ อะไรๆก็หายาก มาวัดกันที่รสชาติดีกว่า
ซึ่งรสชาติก็… อื้ม ไม่แย่ แต่ไม่ใช่ผัดไทย เป็นผัดเส้นเลี่ยนๆ ใส่ขิง โอ้ย ตอนนั้นถึงกับเรียกเขามาถามว่าอันนี้ผัดไทยใช่ไหม ไม่ได้เสิร์ฟผิดใช่ไหม ซึ่งเขาก็บอกว่าใช่ๆ นี่แหละผัดไทย 555
ผัดไทยนี่แหละครับ เสน่ห์ของการเลือกร้านแบบดัมมี่ มีตามหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง เกินคาดหวังบ้าง เราไม่ได้ทำอะไรแบบนี้บ่อยๆ สักหน่อย เพราะมันไม่สมบูรณ์แบบนั่นแหละ มันจึงน่าจดจำ
เรื่องโดย ณัฐวุฒิ ศรีบุ่งง้าว
สวัสดีครับ นัดนะครับ ปัจจุบันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีชื่อดังแห่งหนึ่งย่านบางมด ผมเพิ่งเปิดเพจๆ หนึ่งเพื่ออยากจะแชร์ประสบการณ์เที่ยวแบบผู้ประสบภัย หากเพื่อนๆ อยากร่วมประสบภัยสามารถกดติดตามได้ที่นี่ครับ https://www.facebook.com/profile.php?id=61559836472406
Contributor
Tags:
Recommended Articles