
ไม่ได้กินน้ำตาลแล้วหงุดหงิดวีนฉ่ำจริงไหม
ใครเคยคิดจะลดหวานลดน้ำตาลน่าจะเคยเจอมีม (หรืออาจจะเป็น fact) ว่าจะเกิดอาการ ‘วีนฉ่ำ’ บางคนก็บอกว่าการงดน้ำตาลนี่ทำให้อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าช่วงมีรอบเดือนซะอีก แล้วมันจริงไหมนะ? หรือว่าเราแค่คิดกันไปเอง?
ตอบว่า “จริงค่ะ” จริงแท้แน่นอนล้านเปอร์เซนต์!
จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่แค่น้ำตาล สารอาหารแต่ละชนิดนอกจากจะมีผลต่อสภาพร่างกาย ยังส่งผลต่อสภาพอารมณ์ของเราด้วย นั่นก็เพราะโครงสร้างทางเคมีของสารอาหารมีผลต่อการหลั่งสารเคมีภายในสมอง อาทิ ถ้ากินอาหารโปรตีนสูง ร่างกายจะหลั่งสารโดพามีน (Dopamine) และ นอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) ที่มีส่วนช่วยให้อารมณ์ดี กระปรี้กระเปร่า
และในบรรดาสารอาหารทั้งหมด อาหารในกลุ่มแป้งและน้ำตาลคือตัวกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ต่างๆ ได้มากและเร็วที่สุด เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลจะเกิดการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน กระตุ้นให้สมองเกิดความรู้สึกสดชื่น เราจึงหายเหนื่อยหายเพลีย แบบประโยคที่ว่า “น้ำตาลตก” นั่นเอง (อยากรู้ว่าน้ำตาลทำอะไรกับร่างกายเราบ้าง คลิกเลย https://krua.co/food_story/what-sugar-does-to-you-body)
ความที่รสหวานสามารถให้พลังงานได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เมื่อเรากินของหวาน ไม่ว่าจะน้ำอัดลม ขนมเค้ก ชานมไข่มุก และอื่นๆ เราจะรู้สึกอารมณ์ดี สดชื่น หายเหนื่อย หายเครียด ได้อย่างรวดเร็ว พอรู้สึกดีก็ยิ่งกิน กินมากๆ เข้าก็จะเกิดอาการเสพติดความหวาน นั่นเพราะการกินหวานมากและบ่อยกระตุ้นให้อินซูลินและโดพามีนออกมามากเกินไป ทำให้ร่างกายต้องการโดพามีนในระดับที่สูงอยู่เรื่อยๆ นี่เองที่เรียกว่า ‘อาการเสพติด’ เช็คลิสต์ง่ายๆ คือชอบกินขนมหวานระหว่างวัน ดื่มเครื่องดื่มรสหวาน ไม่ค่อยดื่มน้ำเปล่า หิวบ่อย กินอาหารหรือเครื่องดื่มก็จะต้องเติมน้ำตาล และถ้าไม่ได้กินหวานจะรู้สึกเหนื่อยล้า หงุดหงิด หนักเข้าก็ถึงขั้นอารมณ์แปรปรวน วีนหมดไม่สนลูกใคร เนื่องจากร่างกายเคยหลั่งสารเหล่านี้ออกมามาก อยู่ๆ เกิดจะไม่กินน้ำตาลอย่างฉับพลัน สารที่เคยหลั่งก็ไม่หลั่งมากอย่างเดิม ร่างกายจึงมีอาการคล้ายการถอนสารเสพติด เช่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หงุดหงิด ข่าวดีคืออาการเหล่านี้มักเป็นแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ข่าวร้ายคือถึงจะชั่วคราวแต่มันทรมานอยู่นะ ฉะนั้น ทางออกคือไม่ควรหยุดกินน้ำตาลแบบหักดิบ แต่ให้ใช้วิธีค่อยเป็นค่อยไป ลดก่อนแล้วค่อยละ พร้อมๆ กับกินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย

แล้วทำไมต้องลดต้องละความหวาน?
ก็เพราะแม้การกินหวานจะช่วยให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า แต่หากร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว จะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เป็นสาเหตุให้กระดูกและฟันไม่แข็งแรง ภาวะเลือดเป็นกรด ความดันเลือดสูง ง่วงนอนง่ายขึ้น อ้วน แก่เร็ว เสี่ยงเป็นโรค NCDs (กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิตอย่างไม่ระมัดระวัง เช่น โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง, โรคไขมันในเลือดสูง ฯลฯ) เสี่ยงมีภาวะซึมเศร้า เพราะน้ำตาลจะไปยับยั้งฮอร์โมน BDNF (Brain-Derived Neurotrophic Factor) ที่ช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานดีขึ้น เรียกว่าอร่อยปากแต่ลำบากแก่ร่างกายและชีวิตในระยะยาวแน่นอน
เราจึงควรบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่พอเหมาะในแต่ละวัน ปริมาณน้ำตาลที่ผู้ชายควรบริโภคในแต่ละวันคือ 37.5 กรัมหรือ 9 ช้อนชา ส่วนผู้หญิงควรบริโภคน้ำตาล 25 กรัมต่อวันหรือ 6 ช้อนชา ซึ่งก็อย่างที่รู้กัน อาหารและเครื่องดื่มที่เรากินๆ กันอยู่นั้นมีน้ำตาลทั้งแบบตรงๆ และแอบแอบแฝงอยู่แทบจะทุกอณู แค่น้ำอัดลมกระป๋องเดียวก็แทบจะหมดโควต้าน้ำตาลของทั้งวันแล้ว จึงต้องกินกันอย่างมีสติและระลึกรู้ โดยมีคู่มือเจริญสติสำหรับการลดบริโภคน้ำตาลมาฝากดังนี้ค่ะ
สั่งหวานน้อย
เครื่องดื่มนี่ละตัวดี อันดับแรกให้ลดและเลี่ยงน้ำอัดลม ส่วนพวกชา กาแฟ ก็ลดความหวานลงให้เป็นนิสัย หวาน 100 หวาน 200 พักยาวๆ สั่งไปเลยหวาน 50 หวาน 25 หรือใครจะแอดวานซ์หวาน 0 ไปเลยก็ยิ่งดี
อ่านฉลาก
ฉลากบนผลิตภัณฑ์คือผู้ช่วยวางแผนการกิน อ่านปริมาณน้ำตาลที่ระบุไว้ทุกครั้ง ดีไม่ดีอาจจะทำให้วางคืนเชลฟ์ไปเลยถ้าเห็นปริมาณน้ำตาลในฉลาก หรือลองมองหาฉลากผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพก็ได้
กินผลไม้หวานน้อย
ทุเรียน ขนุน องุ่น เลี่ยงได้เลี่ยง ให้เลือกพวกแคนตาลูป ฝรั่ง ส้มเขียวหวาน แก้วมังกร แอปเปิ้ล หรือตระกูลเบอร์รี่ทั้งหลาย
ทำอาหารกินเอง
เป็นวิธีที่ช่วยให้สามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลได้อย่างง่ายและเห็นผล จะใส่มากใส่น้อยหรือไม่ใส่เลยก็แล้วแต่เราเลย
ใดๆ คือขอบอกว่าการลดน้ำตาลเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก เพราะกินหวานแล้วมันทั้งอร่อยทั้งรู้สึกดี แต่ขอให้ทุกคนมีจิตใจที่ตั้งมั่นและมีวินัย ท่องคาถาวิเศษเอาไว้ว่าเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีของตัวเองกันนะคะ สู้!
ที่มา: https://hellokhunmor.com/
Contributor
Recommended Articles
Recommended Videos