เปิด "ตำราอาหาร" ได้ที่นี่

 

food story

อาหารในหนังเป็นเพียงมายา เบื้องหลังความน่ากินที่อาจกระเดือกไม่ลง

Story by นคร โพธิ์ไพโรจน์

ยอมรับมาซะดีๆ ว่าหลายคนเคยหลงกลกับอาหารในหนังหรือซีรีส์ที่ทำออกมาน่ากินจนเผลอน้ำลายสอไปกับมัน ยิ่งถ้าคุณมีอาการนี้กับหนังฮอลลีวูดหรือซีรีส์อเมริกัน คุณเสร็จ food stylist เข้าให้แล้ว

ที่นั่นมีตำแหน่งนี้แยกออกมาต่างหาก หน้าที่หลักๆ ของตำแหน่งนี้คือการทำอาหารเพื่อประกอบฉากโดยเฉพาะนั่นเอง

 

ทำไมต้องแยกตำแหน่งนี้ออกมาเป็นเรื่องเป็นราว? ถ้าตัวละครต้องกินปลาดิบก็แค่หาปลาดิบมาให้นักแสดงกินเลยไม่ง่ายกว่าเหรอ? จุดนี้ต้องทำความเข้าใจนิดว่า ยิ่งถ้าเป็นหนังฮอลลีวูดที่เป็นกระบวนการระดับอุตสาหกรรมใหญ่โต แต่ละฉากนั้นไม่ได้ผ่านกันไปได้ง่ายๆ มันต้องเตรียมการให้พร้อม ถ่ายแล้วถ่ายอีก ดังนั้นมันจึงอาจส่งผลต่อความสดของอาหาร สภาพของมันอาจบอบช้ำเกินกว่าจะดูน่ากิน food stylist จึงต้องออกแบบอาหารในฉากให้พร้อมเสมอสำหรับการเข้าฉาก และยิ่งถ้าตัวละครต้องกินมันเข้าไปในฉากนั้นด้วย ยิ่งต้องปลอดภัยว่ามันสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต

 

ในอดีต หน้าที่นี้เป็นของ prop master หรือแผนกที่หาอุปกรณ์ประกอบฉาก เมื่อต้องมีอาหารเข้าฉาก เขาก็แค่ไปหาอาหารจริงๆ มา หรือไม่ก็ให้เมียที่บ้านทำมาให้ ไม่ซับซ้อนอะไร ก่อนที่มันจะคลี่คลายจนเกิดมาเป็นแผนก food stylist ตามข้อจำกัดการทำงานอย่างที่เล่าข้างต้น เมื่อช่วงปลายยุค 80 ถึงต้นยุค 90 ที่ผ่านมา

 

 

คริส โอลิเวอร์

 

 

อันดับแรกของคนที่มาทำหน้าที่ food stylist ในหนัง คือ ทุกคนจะต้องมีความรู้ด้านอาหารและวัตถุดิบเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าอาหารที่อยู่ในหนังจะไม่ต้องแคร์ความอร่อยมากก็ได้ แต่สิ่งที่ปรากฏหน้าจอมันต้องดูอร่อยและกินได้จริง

 

คริส โอลิเวอร์ food stylist ที่น่าจะงานชุกที่สุดในฮอลลีวูดแล้ว เธอก็เริ่มจากการเรียนทำอาหาร ก่อนจะเข้าไปเตรียมอาหารสำหรับคนในกองถ่าย จากนั้นจู่ๆ ก็ได้รับโอกาสพร้อมเงินก้อนโตให้เตรียมอาหารเข้าฉาก และหลังจากนั้นเธอก็ยึดอาชีพนี้เรื่อยมา จนสามารถเปิดเว็บไซต์ Hollywood Food Stylist ซึ่งนอกจากเป็นที่รวบรวมผลงานแล้วยังให้ความรู้แก่คนทั่วไปด้วย

 

 

ซูซาน สปันเกน

 

 

หรือ ซูซาน สปันเกน food stylist ในหนัง Julie & Julia กับ Eat, Pray, Love ก็เคยเป็นบรรณาธิการตำราอาหารของ มาร์ธา สจ๊วร์ต มาเป็นสิบปี ก่อนจะมาทำ food stylist กล่าวคือ มันเป็นตำแหน่งที่เรียกร้องทักษะการทำอาหารสูงพอๆ กับการเป็นเชฟในร้านอาหารดังๆ เพียงแต่นำมาพลิกแพลงเพื่อใช้ประโยชน์ทางภาพยนตร์นั่นเอง

 

 

ภาพยนตร์เรื่อง Julie & Julia

 

 

 

ภาพยนตร์เรื่อง Eat, Pray, Love

 

 

เชลลี แอนเดอร์สัน food stylist ในวงการโฆษณาที่ผ่านงานโหดอย่าง Burger King เล่าว่า “นอกจากคุณจะทำอาหารเป็นแล้ว ตำแหน่งนี้ยังเรียกร้องความคิดสร้างสรรค์ และสามารถทำงานภายใต้แรงกดดันได้ดีด้วย”…และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของความหฤหรรษ์ในการทำงาน food stylist หนัง, ซีรีส์ และโฆษณา ที่เรารวบรวมมาให้อ่านกันสนุกๆ

 

 

ภาพยนตร์เรื่อง Chef

 

 

 

ภาพยนตร์เรื่อง Chef

 

 

     

  • ด้วยความที่หนังต้องถ่ายเป็นสิบๆ เทคต่อหนึ่งฉาก จึงทำให้ food stylist ต้องเตรียมอาหารให้เพียงพอต่อการถ่ายทำตลอดเวลา เช่น ในหนังเรื่อง Chef ของ จอน แฟฟโร มีอาหารที่เป็นพระเอกคือ แซนด์วิชคิวบา ทำให้ เมลิสซา แม็กซอร์เลย์ food stylist ของหนังต้องเตรียมมันมากถึง 800 ชิ้นเพื่อเข้าฉาก หรือ คริส โอลิเวอร์ ต้องเตรียมไก่งวงเป็นสิบตัว เพื่อเข้าฉากวันขอบคุณพระเจ้าในเรื่อง Little Fockers เพราะเฉือนทีก็ต้องเปลี่ยนตัวใหม่ที
  •  

 

 

ซีรีส์ Hannibal

 

 

 

ซีรีส์ Hannibal

 

 

 

เจนิซ ปูน

 

 

     

  • ในซีรีส์ Hannibal ซึ่งฮันนิบาล เลกเตอร์ เอาเนื้อมนุษย์มาทำอาหาร สิ่งที่ เจนิซ ปูน food stylist ต้องทำคือศึกษาอนาโตมีมนุษย์อย่างละเอียด แล้วมิกซ์แอนด์แมทช์เนื้อสัตว์ชนิตต่างๆ มาประกอบเข้ากับกระดูกสัตว์ที่แตกต่างกันไป เช่น ส่วนขาก็ใช้ท่อนกระดูกจากลูกวัวแต่พอสไลซ์แล้วก็ใช้แฮมแทน จนเธอเปรียบตัวเองว่าเป็นแฟรงเกนสไตน์
  •  

 

 

ภาพยนตร์เรื่อง The Guilt Trip

 

 

     

  • สำหรับ คริส โอลิเวอร์ แล้ว แตงโม ช่วยชีวิตเธออยู่หลายครั้ง ครั้งหนึ่งเธอใช้มันแทนเนื้อทูน่าในการถ่ายซูชิให้ดูสดใหม่ กับอีกครั้งเธอใช้มันไปย่างและเอามาใช้แทนสเต๊กให้ บาร์บรา สไตร์แซนด์ กิน ในหนัง The Guilt Trip เพราะฉากนั้นถ่ายเป็นสิบเทค ซึ่งนักแสดงกินไม่ไหวถ้าต้องใช้เนื้อจริง
  •  

 

 

ภาพยนตร์เรื่อง Master of Sex

 

 

     

  • ในหนัง Master of Sex มีฉากที่นักแสดง โบ บริดเจส ต้องกินไข่ดาว แต่ปัญหาคือเขาเป็นมังสวิรัติ สิ่งที่โอลิเวอร์แก้ปัญหาคือใช้เต้าหู้กับมะม่วงสุกทำให้เป็นของเหลว และใช้เทคนิค Molecular Gastronomy (วิธีทำให้ของเหลวกลายเป็นก้อนเด้งๆ) มาสร้างไข่ดาวเทียม
  •  

  • ไอศกรีม เป็นอาหารปราบเซียนสำหรับการถ่ายทำ เพราะมันละลายง่ายมาก สิ่งที่ food stylist แก้ปัญหากันคือใช้เนยผสมน้ำตาลทรายแล้วใช้เทคนิคทางวิชาเคมีในการประสานมันให้ออกมาในรูปของไอศกรีม เพราะฉะนั้นถ้ามีฉากไหนที่ตัวละครเลียไอศกรีม นั่นหมายความว่าส่วนใหญ่พวกเขาเลียเนยสดกันอยู่จ้ะ
  •  

  • บางทีเค้กในหนังก็ใช้โฟมเนื้อละเอียดแทนแป้งจริงๆ ตราบใดที่ตัวละครไม่ต้องเอามันเข้าปาก
  •  

 

 

ภาพยนตร์เรื่อง Big Little Lies

 

 

     

  • ไม่ว่าอะไรที่ต้องเข้าปากนักแสดง food stylist ก็ต้องทำมันออกมาให้ปลอดภัยต่อชีวิต และหากเป็นไปได้ก็ควรมีรสชาติที่ดีด้วย อย่างเช่น อ้วก ในซีรีส์ Big Little Lies ที่ รีส วิเธอร์สปูน ต้องบ้วนออกมา คริส โอลิเวอร์ เลือกใช้แตงกวาผสมกับพาร์สลีย์บดเข้าด้วยกันให้ออกมาเขียวอี๋อย่างที่ผู้กำกับต้องการ หรือในหนังสงครามเรื่องหนึ่งที่มีตัวละครต้องกินดินเข้าไป เธอนำเข้าตัวอย่างดินจากปากีสถาน (ฉากหลังในหนัง) แล้วบดโอริโอกับแครกเกอร์ผสมน้ำตาลแดงและน้ำตาลทราย ให้ออกมาเป็นดินแบบที่ต้องการ ก่อนจะเอาไปให้นักแสดงกิน และใน The Master ที่ วาคิน ฟีนิกซ์ นักแสดงสาย method เรียกร้องให้ตัวเองตาแดงจริงๆ ตามท้องเรื่อง ก็เป็นโอลิเวอร์นี่แหละที่บีบน้ำมะนาวเข้าตาเขา
  •  

 

ดังนั้นขอบเขตของ food stylist ในหนัง จึงไม่ใช่แค่ทำอาหารเข้าฉากเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอะไรต่อมิอะไรที่จะต้องเข้าสู่ร่างกายนักแสดงด้วย เป็นอีกหนึ่งอาชีพรายได้ดีของฮอลลีวูดที่ท้าทายทักษะและความรู้ของคนรักการทำอาหารเป็นอย่างยิ่ง และเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีการแข่งขันสูงในทุกวันนี้เลยทีเดียว

 

 

ข้อมูลประกอบบทความ

 

https://mentalfloss.com/article/524141/secrets-hollywood-food-stylists

 

https://www.hopesandfears.com/hopes/city/food/214499-hannibal-food-stylist-interview

 

https://www.npr.org/sections/thesalt/2015/02/18/385236806/hollywood-food-stylists-know-you-cant-film-styrofoam-cake-and-eat-it-too

 

https://www.tribecafilm.com/stories/movie-food-stylist-tells-all

Share this content

Contributor

Tags:

อาหารกับภาพยนตร์

Recommended Articles

Food StoryWilly Wonka กับชีวิตที่หวานปนขมเหมือนรสช็อกโกแลต
Willy Wonka กับชีวิตที่หวานปนขมเหมือนรสช็อกโกแลต

ร่วมเดินทางตามหาต้นกำเนิดและเปิดสูตรลับช็อกโกแลตวองก้า