เปิด "ตำราอาหาร" ได้ที่นี่

 

food story

รู้จักซันจิแห่ง One Piece ผ่านเมนู Meat on the Bone!

Story by เสาวลักษณ์ เชื้อคำ

ถอดสูตรเมนูประจำของเจ้าซันจิ โจรสลัดที่ขอเก็บมือไว้สำหรับทำอาหารเท่านั้น!

คนส่วนใหญ่คงจะไม่ยกมือค้าน ถ้าฉันจะบอกว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นเจ้าแห่ง Soft Power ที่ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรมาพัฒนาก็ดูจะกลายเป็นสินค้าส่งออกไปได้เสียหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่อง ‘เด็กๆ’ อย่างการ์ตูนเล่ม สำหรับเหล่า Gen Y ผู้ใช้ชีวิตวัยเยาว์ในโลกไร้อินเทอร์เน็ต การ์ตูนมังงะเล่มๆ นี่แหละที่ถือเป็นความบันเทิงชั้นเลิศที่ทำให้นั่งจมอยู่กับที่ได้เป็นวันๆ

 

 

 

 

กาลเวลาผ่านไป เมื่อเหล่ามนุษย์ Gen Y เติบโตขึ้น วัฒนธรรมการ์ตูนก็เติบโตขึ้นตามไปด้วย จากหนังสือเล่ม สู่อนิเมชัน ของเล่น ตุ๊กตา ขยับขยายไปจนกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง การ์ตูนบางเรื่องที่รังสรรค์มาจากปลายปากกาของนักเขียนในตำนานไม่เพียงแต่เป็นวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็น ‘ศูนย์รวมใจ’ ของเหล่านักอ่านเลยทีเดียว

 

 

 

 

One Piece

 

 

 

 

One Piece

 

 

 

 

ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา ระหว่างที่ความขัดแย้งของยูเครนและรัสเซียกำลังเริ่มปะทุขึ้น ในเว็บบอร์ด Reddit (เว็บบอร์ดสำหรับตั้งกระทู้คุยเรื่องขิงข่าคล้ายๆ กับเว็บ Pantip ในไทย) มีชาวยูเครนผู้ใช้ชื่อยูเซอร์ว่า u/I_m_dead_inside มาตั้งกระทู้ระบายความในใจขึ้น

 

 

 

 

‘I don’t want to die before knowing the end of One Piece’

 

 

 

 

ให้ตายเถอะ ผมไม่อยากตายเลย ผมมีเรื่องที่น่าเสียดายมากมายในชีวิตนี้ แต่สิ่งที่ผมเสียดายมากที่สุดก็คือผมกลัวว่าจะตายก่อนจะได้รู้ว่า One Piece คืออะไรน่ะสิ ที่ผ่านมามันเป็นการเดินทางที่วิเศษมากเลย ผมขอให้ทุกๆ คนมีชีวิตอยู่เพื่อดูฉากจบบริบูรณ์ของเรื่องนี้ด้วยนะ ผมได้ยินเสียงระเบิด การเดินทางของผมคงต้องจบลงแค่นี้ละ ลาก่อนนะทุกคน

 

 

 

 

(ดูกระทู้ได้ที่ https://www.reddit.com/r/OnePiece/comments/t05lu4/i_dont_want_to_die_before_knowing_the_end_of_one/)

 

 

 

 

เผื่อใครยังไม่ทราบ (แต่กดเข้ามาอ่านขนาดนี้ ฉันคิดว่าคงทราบกันอยู่แล้วละ) – One Piece คือหนึ่งในการ์ตูนยอดนิยมตลอดกาลของญี่ปุ่น ว่าด้วยเรื่องของกลุ่มโจรสลัดที่ออกเดินทางตามหา ‘วันพีซ’ เพื่อจะได้เป็นจ้าวแห่งโจรสลัด และไอ้เจ้า ‘วันพีซ’ นี่แหละเป็นปริศนาอันยิ่งใหญ่ที่หมายถึงอะไรยังไม่มีใครรู้ นอกจากผู้เขียนอย่างอาจารย์เออิจิโร โอดะ คนเดียวเท่านั้น

 

 

 

 

การ์ตูนเรื่อง One Piece เริ่มตีพิมพ์ลงใน Shonen Jump นิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ของญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2540 และถูกนำมารวมเล่ม ผลิตเป็นอนิเมชั่นฉายในช่องฟรีทีวี แถมยังถูกซื้อลิขสิทธ์เพื่อแปลเป็นภาษาหลักต่างๆ ทั่วโลก 20 กว่าปีผ่านไป One Piece มียอดขายรวมกว่า 490 ล้านเล่มทั่วโลก แฟนๆ นักอ่านที่เคยเป็น ‘โชเน็ง’ (少年 – shonen) หรือเป็นเด็กชายในวันนั้นก็เติบโตมาเป็นผู้บริโภควัฒนธรรม One Piece อันเหนียวแน่นมาจนถึงทุกวันนี้ อาจารย์โอดะผู้เขียนก็ยังคงผลิตผลงานมาตลอดด้วยเช่นกัน (ถี่บ้างห่างบ้างก็ว่ากันไป) และที่สำคัญก็คือ เหล่าโจรสลัดทั้งหลายก็ยังตั้งหน้าตั้งตา ออกผจญภัยเพื่อตามหา ‘วันพีซ’ กันอยู่เหมือนเดิม

 

 

 

 

ไม่ต้องแปลกใจเลยค่ะ กระทู้ Reddit ของพ่อหนุ่มยูเครนที่ว่าจึงได้รับแรงใจมหาศาลจากแฟน One Piece ทั่วโลก ฉันเองแม้ไม่ใช่แฟนเดนตายของ One Piece ยังน้ำตาตกไปด้วย เห็นไหมคะว่าจักรวาล One Piece ในนามของซอฟต์พาวเวอร์จากญี่ปุ่นนั้นมันยิ่งใหญ่และงดงามแค่ไหน

 

 

 

 

การเกิดขึ้นมาอย่างล้มเหลว All Blue ที่ฝันใฝ่ และมือที่มีไว้ทำอาหารเท่านั้น

 

 

 

 

ฉันคิดว่าสิ่งที่มีเสน่ห์มากๆ ในการ์ตูนเรื่อง One Piece ก็คือการดีไซน์คาแรกเตอร์ของตัวละครค่ะ แน่นอนว่าเรื่องการเดินทางไปในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ผจญภัยเพื่อตามหาความฝันนั้นเป็นเรื่องสนุกแน่ แต่สิ่งที่ทำให้ One Piece เป็นการ์ตูนแห่งยุคของโลกก็คือคาแรกเตอร์ตัวละครที่มีมิติ มีดีเลว มีแข็งแกร่งและอ่อนแอจนทำให้ผูกพันกับคนอ่านได้ราวกับว่าตัวละครทุกตัวมีเลือดมีเนื้อจริงๆ เรามีพระเอกจอมซ่า มีพระรองแสนเท่ และมีตัวร้ายที่รักไม่ได้และเกลียดไม่ลงโลดแล่นอยู่ในทุกหน้ากระดาษของมังงะเรื่องนี้

 

 

 

 

พอพูดถึง One Piece หลายคนคงนึกถึงโจรสลัดหมวกฟางอย่างลูฟี่ขึ้นมาเป็นคนแรกใช่ไหมคะ แต่สำหรับฉัน ฉันหลงสเน่ห์ของตัวละครที่ชื่อว่า ‘ซันจิ’ เอามากๆ เลยล่ะ

 

 

 

 

Sanji

 

 

 

 

Spoiler Alert! – ตั้งแต่นี้ไปมีสปอยล์เรื่องนะคะ (ว่าแต่กับเรื่อง One Piece นี่เรายังควรจะต้องติดสปอยล์อยู่ไหมนะ -_-)

 

 

 

 

ซันจิ (サンジ – Sanji) เป็นตัวละครที่เป็นพ่อครัวค่ะ แม้จะเปิดตัวมาอย่างยิ่งใหญ่ในฐานะเชฟรองสุดโหดประจำภัตตาคาร อยู่กับแก๊งที่ทั้งเท่ ฉลาด และเก่งกาจเรื่องการต่อสู้ แต่พอติดตามกันนานๆ เข้า ซันจิเป็นอีกตัวละครหนึ่งที่หอบเอา ‘ปม’ ในชีวิตมาเพียบ เช่นว่าเมื่อเกิดมาก็นับเป็นความผิดพลาดของครอบครัวไปเสียแล้ว

 

 

 

 

ซันจิเป็นลูกแท้ๆ ของพระราชาอาณาจักรหนึ่งที่โดดเด่นเรื่องการต่อสู้ด้วยเทคโนโลยี วันดีคืนดีพระราชาก็นึกอยากจะทำการทดลอง สร้างมนุษย์ที่เก่งกาจเรื่องการต่อสู้และไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ ออกมา จึงเริ่มทดลองกับลูกของตัวเองนี่แหละค่ะ ผลปรากฎว่าพี่น้องทั้ง 3 ของซันจิมีลักษณะตามที่พระราชาต้องการหมด ยกเว้นซันจิคนเดียวที่เกิดมาเป็น ‘ความผิดพลาด’ ที่ยังมีอารมณ์และความรู้สึกอยู่เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ความแตกต่างในครอบครัวสะสมเป็นแผลใจ จนวันหนึ่งซันจิก็ตัดขาดจากครอบครัวในที่สุด

 

 

 

 

ชีวิตวัยเด็กที่ต่อกันไม่ติดระหว่างพี่น้องทำให้ซันจิใช้คืนวันไปกับการเรียนรู้เรื่องปลาทะเลและทำอาหาร เมื่อหันหลังให้ครอบครัว เจ้าชายของเราจึงผันตัวเป็นพ่อครัวนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชีวิตใน Culinary Career Path ของซันจิถึงจุดเปลี่ยนเมื่อมาเจอกับ ‘เชฟขาแดง’ และมีเหตุให้ต้องติดเกาะอยู่ด้วยกันนานถึง 70 วัน แม้จะเริ่มต้นด้วยการต่อสู้กัน (ตามแบบฉบับของการ์ตูนโจรสลัด) แต่สุดท้าย 70 วันบนเกาะนั้นก็ทำให้ซันจิได้รู้ว่า เชฟขาแดงยอมเสียสละอาหารให้ซันจิทั้งหมด แล้วกินขาของตัวเองเพื่อประทังชีวิต เมื่อรอดพ้นจากการติดเกาะมาได้ ซันจิจึงตั้งใจว่าจะอยู่ช่วยเชฟขาแดง ดำเนินกิจการภัตตาคารลอยทะเลเรื่อยมา พร้อมด้วยปฏิญาณว่า ไม่ว่าจะดีเลวแค่ไหน ก็จะต้องไม่มีใครถูกทิ้งให้หิวโหยกลางทะเลอีกต่อไป!

 

 

 

 

และแล้วจุดเปลี่ยนในชีวิตเชฟของซันจิก็มาถึง เมื่อมีเรื่องต่อสู้ฟาดฟัน (ต่อสู้อีกแล้วตามสไตล์) กันระหว่างภัตตาคารลอยทะเลกับโจรสลัดอีกกลุ่มหนึ่ง ลูฟี่ – พระเอกของเรื่องก็มาปรากฎตัวและกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ พร้อมๆ กับที่ลูฟี่ชวนให้ซันจิไปเป็นเชฟประจำเรือ แต่ซันจิเองก็ยังยืนกรานว่าจะอยู่ทำงานในภัตตาคารลอยทะเลเคียงข้างกับเชฟขาแดงต่อไป แม้จะมีการปะทะคารมณ์กันอยู่พอประมาณ สุดท้ายเชฟขาแดง – ผู้ที่ซันจินับถือให้เป็นพ่อและเป็นอาจารย์ที่มอบวิชาทำอาหารให้ ก็ทำให้ซันจิออกเดินทางไปกับลูฟี่จนได้

 

 

 

 

เหตุผลที่ทำให้ซันจิยอมออกเดินทางก็คือ All Blue ค่ะ

 

 

 

 

ในขณะที่ลูฟี่ตั้งธงไว้ว่าจะออกเดินทางตามหา ‘วันพีซ’ พ่อซันจิของเรากลับมีหมุดหมายอยู่ที่ ‘All Blue’ ค่ะ All Blue คือทะเลในตำนานที่เป็นจุดบรรจบระหว่างท้องทะเลทั้งสี่ทิศ จึงมีปลาและสัตว์ทะเลทุกสายพันธุ์มารวมตัวกันอยู่ และที่สำคัญคือมันยังเป็นความฝันของเชฟขาแดงผู้มีบุญคุณกับซันจิด้วยเหมือนกัน การออกเดินทางของซันจิจึงหอบเอาทั้งปมเรื่องครอบครัวและอาชีพของตัวเองไปด้วย ความฝันของซันจิสั่นสะเทือนฉันมากทีเดียวค่ะ ฉันคิดว่าถ้านึกจะเขียนนิยายสักเรื่องพระเอกของฉันจะต้องเป็นคนแบบนี้แหละ คือต้องจ๋อยแต่เท่ มีรอยแผลปุปะในหัวใจ และต้องหมกมุ่นกับอาหารได้ในระดับนี้ นี่มันชายผู้ออกเดินทางเพื่อตามหาความยั่งยืนทางอาหารเชียวนะ!

 

 

 

 

เรื่องราวของซันจิมีจุดเริ่มต้นประมาณนี้ค่ะ หลังจากลงเรือไปกับลูฟี่แล้ว ซันจิก็เริ่มมีซีนต่อสู้น้อยลงเรื่อยๆ ถึงจะมีมาบ้างแต่ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นฝ่ายแพ้ เพราะเจ้าตัวมีกฎสำคัญว่าจะไม่ทำร้ายผู้หญิง แถมยังต่อสู้ด้วยลูกเตะเพียงอย่างเดียว เพราะจะเก็บมือเอาไว้สำหรับทำอาหารเท่านั้น พ่อครัวรูปหล่อของเราก็เลยมักอยู่ในสภาพยับเยินอยู่บ่อยๆ ความเท่ในแบบ Masculine ก็เริ่มจะถูกเปลี่ยนมุมไปให้เป็นเจ้าจอมลามกที่เห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้ ครั้นว่าจะมีความรักจริงๆ กับเขาสักทีก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า

 

 

 

 

ในเล่มหลังๆ ซันจิจึงมีบทบาทเด่นในเรื่องอารมณ์และการมุ่งมั่นจะทำอาหารเป็นหลัก จนนักอ่านต่างพากันตั้งขอสังเกตว่าอาจารย์โอดะคงจะวางคาแรกเตอร์ซันจิไว้ให้เป็นไปในทิศทางนี้เสียแล้ว หลายคนบอกว่าซันจิกำลังตกอันดับจากบัลลังก์ลูกรักของคนเขียน ส่วนฉันกลับเห็นว่าความเจ็บปวด ความไม่สมบูรณ์ และความมุ่งมั่นในการเป็นเชฟนี่แหละที่ทำคนอ่านผูกพันกับตัวละครตัวนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

 

 

ตำราอาหารของซันจิ

 

 

 

 

อยากที่บอกนั่นแหละค่ะ One Piece เป็นการ์ตูนที่ดำเนินเรื่องมานานเป็นสิบๆ ปีแล้ว และญี่ปุ่นเองก็เป็นจ้าวแห่งซอฟต์พาวเวอร์ 15 ปีหลังจากตีพิมพ์ตอนแรก ซันจิของเราก็ได้ออกตำราอาหารของตัวเองเป็นเล่มแรกแล้วค่ะ (ถือว่าเป็นการเติบโตในสายอาชีพที่น่าประทับใจนะคะเนี่ย)

 

 

 

 

ตำราอาหารของซันจิมีชื่อว่า One Piece Pirate Recipes: Sanji’s Gut-Stuffers (サンジの満腹ごはん – Sanji no manpuku gohan) ค่ะ ความน่ารักก็คือทางสำนักพิมพ์ Shonen Jump เขาบอกกับแฟนๆ ว่านี่ลงทุนติดต่อไปหาซันจิ ให้ซันจิเขียนมาให้เองเลยนะ! ถ้าดูบนปกแล้ว ชื่อคนเขียนก็เป็นชื่อซันจิจริงๆ ด้วยนะคะ เห็นไหมล่ะว่าคนญี่ปุ่นเขาหยิบเอาวัฒนธรรมมาขายได้เก่งมากจนน่าทึ่ง

 

 

 

 

One Piece Pirate Recipes ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดค่ะ แถมยังเริ่มจากการเป็นสินค้า Limited Edition ขายคู่กับสินค้าอื่นมาด้วย หลังจากนั้นอีก 10 ปีให้หลัง ในปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา ตำราอาหารเล่มนี้ถึงได้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและตีพิมพ์ขายไปทั่วโลกอย่างเป็นทางการเสียที

 

 

 

 

พลังของซอฟต์พาวเวอร์สร้างได้ไม่ง่ายนะคะ แถมยังต้องใช้เวลานานกว่าจะผลิดอกออกผล แต่พอมันประสบความสำเร็จแล้วมันก็จะกลายเป็นดาวค้างฟ้าทีเดียวค่ะ คิดดูสิคะว่าบางคนอยากกินเมนูอาหารที่เคยเห็นในมังงะเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนแรกๆ ก็เพิ่งจะได้มาเห็นสูตรกันตอน 25 ปีให้หลังนี่เอง

 

 

 

 

โม้มาเสียตั้งยืดยาวขนาดนี้ ฉันก็ต้องได้กินอาหารของซันจิด้วยแล้วละค่ะ เพื่อซูฮกให้กับซันจิ One Piece อาจารย์โอดะ นักอ่านยูเครนที่อยากเห็นตอนจบ และเหล่าแฟนๆ วันพีซทั้งหลาย ครั้งนี้เลยอยากชวนทุกคนมาทำเมนู Meat On the Bone กันค่ะ

 

 

 

 

Meat On the Bone เป็นเมนูที่ปรากฏครั้งแรกในเล่ม 8 ตอนที่ 69 แล้วก็กลายเป็นเมนูโปรดของลูฟี่เรื่อยมา เห็นทีไรเป็นต้องคว้ามาใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ทุกครั้งไป นอกจากนี้มันยังเป็นรูปแบบของอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่สามารถเห็นได้บ่อยๆ ในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆ ด้วย จนถูกเรียกว่าเป็นเนื้อแบบการ์ตูน (マンガ肉 – manga niku) ไปเลย

 

 

 

 

แต่สูตรนี้ไม่ใช่สูตรที่เหมือนตำราของซันจิเป๊ะๆ หรอกนะคะ ฉันเป็นเด็กอ้วนที่ชอบกินอาหารรสจัดขึ้นมาหน่อย สูตรนี้จึงเปลี่ยนจากวิธีอบไปเป็นการทอด แล้วเพิ่มเครื่องปรุงให้รสจัดกว่าสูตรตามหนังสือค่ะ

 

 

 

 

Meat on the bone
จำนวน 4 ชิ้น

 

 

 

 

เตรียมของกันก่อนนะคะ

 

 

 

 

Meat on the Bone

 

 

 

 

  • น่องไก่ 4 ชิ้น
  • ไข่ต้มเบอร์ 4 (ฟองละ 50 กรัม) 4 ฟอง
  • ไก่บดปรุงรส
  • เนื้อไก่บด 500 กรัม
  • ซีอิ๊วญี่ปุ่น 1 ช้อนโต๊ะ
  • วูสเตอร์ซอส ½ ช้อนชา
  • เกลือสมุทร 1 ช้อนชา
  • พริกไทยดำบด 1½ ช้อนชา
  • ผงกระเทียม ½ ช้อนชา
  • พาร์สเลย์สับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • เกล็ดขนมปัง ½ ถ้วย
  • น้ำมันพืชสำหรับทอด
  • แป้งทอดกรอบสำหรับคลุก

 

 

 

 

เอาละค่ะ เริ่มเลย

 

 

 

 

  • เตรียมส่วนไก่บดปรุงรสที่ใช้หุ้มเป็นชั้นนอกสุดก่อน ผสมเนื้อไก่บด ซีอิ๊วญี่ปุ่น วูสเตอร์ซอส เกลือ พริกไทย ผงกระเทียม พาร์สเลย์สับ ไข่ไก่และเกล็ดขนมปังรวมกันในอ่างผสม คลุกเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วพักไว้

 

 

 

 

Meat on the Bone

 

 

 

 

  • หลังจากนั้นมาเตรียมส่วนไก่และกระดูกไก่ที่ยื่นออกมาเป็นก้านให้จับกัน เริ่มที่การใช้มีดกรีดเนื้อไก่ส่วนข้อให้ขาดก่อนตามภาพเลยค่ะ

 

 

 

 

  • เสร็จแล้วดึงเนื้อส่วนล่างออกให้เหลือแต่กระดูก จับน่องไก่ตั้งขึ้นค่อยๆ ใช้มีดผ่าเนื้อไก่โดยไม่ให้ขาดออกจากกัน

 

 

 

 

  • ใช้มือดึงเนื้อไก่กลับด้านขึ้นมาให้มีลักษณะคล้ายถุง ขั้นตอนนี้ต้องระวังอย่าให้เนื้อไก่หลุดออกจากกระดูกนะคะ เราะเนื้อไก่แล้วพลิกกลับขึ้นมาแบบนี้ให้หมดทั้ง 4 น่องเลย

 

 

 

 

Meat on the Bone

 

 

 

 

  • ยัดไส้ด้วยการวางไข่ต้มลงบนเนื้อไก่ส่วนที่กลับขึ้นมา แล้วค่อยๆ ดึงเนื้อไก่ให้หุ้มไข่ต้มให้หมด จากนั้นเอามือแตะน้ำมันเล็กน้อย หุ้มน่องไก่อีกชั้นด้วยไก่บดปรุงรสที่ทำไว้ ไก่ 1 น่องจะใช้ไก่บดประมาณ 150 กรัม

 

 

 

 

  • ห่อให้ปิดเนื้อไก่และไข่ต้มให้มิดแบบนี้ทั้ง 4 น่อง เสร็จแล้ววางเรียงในจาน พักไว้

 

 

 

 

Meat on the Bone

 

 

 

 

  • ระหว่างนี้ให้ตั้งกระทะน้ำมันพืชบนไฟอ่อนได้เลยค่ะ พอน้ำมันเริ่มร้อน เราจะคลุกน่องไก่ด้วยแป้งทอดกรอบบางๆ คลุกให้ทั่วทั้งน่องแล้วเคาะแป้งส่วนเกินออกเบาๆ

 

 

 

 

  • นำน่องไก่ลงทอดนาน 15 นาทีให้ไก่สุกถึงด้านใน แล้วค่อยปรับเป็นไฟกลางทอดต่อจนสีสวยสม่ำเสมอทั้งชิ้น ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

 

 

 

 

Meat on the Bone

 

 

 

 

  • จัดน่องไก่ใส่จาน เสิร์ฟ

 

 

 

 

  • เมื่อผ่าน่องไก่เข้าไปก็จะเห็นไข่ต้มแอบซ่อนอยู่แบบนี้ เป็นเมนูสุดยอดโปรตีน สุดยอดพลังงาน สมกับที่เป็นตำรับของโจรสลัดจริงๆ เลยค่ะ

 

 

 

 

Meat on the Bone

 

 

 

 

คลิกดูสูตร Meat on the Bone ได้ที่นี่

 

 

 

 

อ่านบทความเพิ่มเติม

 

Share this content

Contributor

Tags:

อาหารกับภาพยนตร์

Recommended Articles

Food StoryWilly Wonka กับชีวิตที่หวานปนขมเหมือนรสช็อกโกแลต
Willy Wonka กับชีวิตที่หวานปนขมเหมือนรสช็อกโกแลต

ร่วมเดินทางตามหาต้นกำเนิดและเปิดสูตรลับช็อกโกแลตวองก้า