เปิด "ตำราอาหาร" ได้ที่นี่

 

food story

กินเที่ยวแดนมังกร ระหว่างตามล่าแชงกรีล่าผืนสุดท้าย

Story by ณัฐณิชา ทวีมาก

อิ่มอร่อยระหว่างทาง​ ก่อนสัมผัสความยิ่งใหญ่และสวยงามของธรรมชาติ

บันทึกการเดินทางตามล่าหาดินแดนแห่งสรวงสวรรค์อุทยานแห่งชาติย่าติง ประเทศจีน สถานที่ที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย’ ของชาวทิเบต…ได้ยินแบบนี้แล้วสาวขาลุยอย่างเรามีเหรอจะพลาด! อย่างที่รู้กันว่าประเทศจีนนั้นเขาขึ้นชื่อลือชาด้านอาหารการกิน ความสะอาด ห้องน้ำ (อันนี้จากที่สัมผัสมาคือที่สุด) และภาษาที่ unique สุดๆ แต่จากที่ได้มาสัมผัสกับตัวเอง อยากบอกเลยว่าจีนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะเออ 

 

การเดินทางในครั้งนี้ใช้ระยะเวลาร่วมแปดวันกับแพลนที่แน่นเอี้ยด และผู้ร่วมทริปอีกสองคน ผ่านเส้นทางคุนหมิง-แชงกรีล่า-เต้าเฉิง-ลี่เจียง ไต่ระดับความสูงจาก 3,000 จนถึง 4,700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เรียนรู้วัฒนธรรมจีน-ทิเบต ชิมอาหารจีนเสฉวน-ยูนนานขนานแท้ ทั้งความมันและความเผ็ดร้อนของหม่าล่า วิวธรรมชาติหลักล้านที่มีให้เสพกันแบบไม่อั้น เปิดประสบการณ์โหด-มัน-ฮา ที่โคตรสนุก! ถ้าทุกคนได้อ่านกันจนจบรับรองว่าจะต้องหลงรักประเทศนี้เหมือนกับเราอย่างแน่นอน 

 

 

วิวระหว่างนั่งรถบัสเข้าอุทยาน

 

 

ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดอ่อนๆ และลมเย็นๆ ที่พัดผ่านมาปะทะหน้านี้เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาเยือนประเทศจีน เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวกับภาวะออกซิเจนน้อยและภาวะ High Altitude Sickness (โรคแพ้ความสูง) ที่อาจเกิดขึ้น ฉันและผู้ร่วมชะตากรรมอีกสองคนจึงเลือกใช้การนั่งรถบัสสาธารณะสำหรับการเดินทางในทริปนี้ เริ่มต้นด้วยการบินไปลงที่คุนหมิงแล้วค่อยนั่งรถบัสนอนต่อไปยังเมืองแชงกรีล่า หลังจากซื้อตั๋วรสบัสเสร็จ เรายังมีเวลาเหลือเลยตกลงจะไปเดินเล่นแถวตัวเมืองเพื่อเป็นการฆ่าเวลารอจนกว่าจะถึงเวลารถออกตอนสองทุ่มตรง

 

วัดหยวนทง (Yuantong temple) วัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของเมืองคุนหมิงผสมผสานวัฒนธรรมทั้งไทย พม่า และทิเบตไว้ด้วยกัน รวมพระพุทธศาสนาถึง 3 นิกาย ได้แก่ นิกายมหายาน นิกายหินยาน และนิกายลามะไว้ในวัดเดียว

 

ระหว่างเดินเล่นชิลล์ๆ เราสะดุดตากับร้านปิ้งย่างเสียบไม้ร้านหนึ่ง กลิ่นเนื้อและกลิ่นหม่าล่าลอยมาเตะจมูก บวกกับคนที่ยืนออกันอยู่หน้าร้านทำให้ปรี่เข้าไปในทันที ปิ้งย่างร้านนี้ดีงามพระรามแปดมาก! กลิ่นหม่าล่าไม่แรงจนเกินไป รสชาติก็ไม่เผ็ดจัดอร่อยเด็ดทีเดียว

 

 

ส่วนเจ้านี่มีชื่อว่าถังหูลู่ ผลไม้เคลือบน้ำตาล ขนมในตำนานของจีนที่นิยมกินกันในช่วงฤดูหนาว นิยมใช้ผลไม้รสเปรี้ยวจำพวกพุทรา สตรอว์เบอร์รี ส้ม องุ่น กีวี่ รสหวานตัดเปรี้ยวเข้ากันดี กินเพลินๆ แป๊บเดียวหมดไม้ 

 

ไฮไลต์ในการมาจีนในครั้งนี้ที่อยากเล่าให้ฟังก็คือ การนั่งรถบัสนอนและห้องน้ำสาธารณะ นี่แหละ บอกเลยว่ามันเด็ดจริงๆ นะเธอ! สภาพบนรถนอนคือแคบถึงแคบมากกก เตียงจะมีสองชั้นเรียงเป็นล็อคๆ ติดกัน เวลานอนก็แสนแนบชิดหัวชนเท้ากันเลย แถมสภาพเตียงก็เหมือนผ่านสงครามโลกมาก่อน แต่ก็เอาละ พอรับได้ ส่วนห้องน้ำสาธารณะนั้น… สมคำร่ำลือจริงๆ แบบ traditional ที่ได้ลองมาคือสุดๆ ของชีวิตแล้ว ไม่มีประตูมีแต่ที่กั้นหน้า-หลัง (ปล.ไม่ใช่ว่าจะเป็นทุกที่นะ ห้องน้ำดีๆ ก็มีให้เข้าเหมือนกัน ) ถือว่าเปิดประสบการณ์ใหม่ให้เรามากๆ หลังจากนอนอัดเป็นปลากระป๋องนานกว่า 12 ชั่วโมง ก็มาถึงแชงกรีล่าซะที เมืองนี้เงียบสงบ เป็นระเบียบ ผู้คนก็อัธยาศัยดี เราเจอร้านอาหารเช้าร้านหนึ่งเจ้าของเป็นคุณลุงกับคุณป้าใจดีมากๆ แนะนำเมนูอาหารเช้าสไตล์ชาวแชงกรีล่าให้กับเราด้วย

 

 

ร้านอาหารเช้าเล็กๆเเต่ดูอบอุ่นของคุณลุงคุณป้า

 

 

 

มื้อเช้าของเราในวันนี้

 

 

อย่างแรกคือซาลาเปาหมูสับ แต่จะเสิร์ฟมากับน้ำจิ้มหน้าตาเหมือนแจ่วบ้านเรา รสชาติเผ็ดเค็มมัน ลองกินแล้วเข้ากันอยู่ เมนูถัดมาคือก๋วยเตี๋ยวสไตล์เสฉวน รสชาติน้ำซุปกลมกล่อม เผ็ดๆ มันๆ เราเลือกปรุงรสชาติได้ตามใจชอบ หันไปทางไหนก็น่ากินไปซะทุกอย่าง รู้ตัวอีกก็สั่งเกือบทุกเมนูของร้านแล้วหลังจากกินจนอิ่มพุงกางเราใช้เวลาช่วงสายในการพักผ่อน เก็บข้าวเก็บของเพื่อเตรียมตัวไปวัดซงจ้านหลินและเดินเที่ยวเมืองเก่ากันต่อในตอนเย็น

 

 

วิวหน้าห้องพัก 

 

 

วัดซงจ้านหลิน (Songzanlin temple) เป็นวัดพุทธทิเบตที่สำคัญและใหญ่ที่สุดของเมืองแชงกรีล่า มีชื่อเล่นว่า วัดโปตาลาน้อย เพราะสร้างเลียนแบบพระราชวังโปตาลาที่ตั้งอยู่ในกรุงลาซานั่นเอง ใครจะมาเยือนเมืองนี้ recommend ให้มาเที่ยวมากๆ สวยงามทั้งสถาปัตยกรรม ภาพวาดฝาผนังรวมทั้งวิวรอบๆ วัด

 

 

 

 

เมืองเก่าตู๋เค่อจง (Dukezong Ancient Town) ในช่วงกลางคืนนั้นคึกคักต่างกับกลางวันโดยสิ้นเชิง อากาศอันแสนเย็นยะเยือก ทั้งผู้คนก็ดูหนาตาขึ้น ร้านค้าร้านอาหารต่างพากันเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน เพลงพื้นเมืองและเสียงหัวเราะที่ลอยมาเชิญชวนให้เราเดินตามหาต้นตอของเสียง ที่กลางลานกว้างปรากฏทั้งผู้ชายและผู้หญิงรวมตัวกันเต้นรำอย่างสนุกสนาน ส่วนนี่ก็เก้ๆ กังๆ อยู่พักใหญ่ สุดท้ายขอยืนดูแทนแล้วกัน ฮ่าๆ

 

 

เมืองเก่าในยามบ่าย

 

 

เรามาหยุดอยู่หน้ารถเข็นขายนมและโยเกริต์จากจามรีของขึ้นชื่อเมืองแชงกรีล่าที่ใครมาก็ต้องลองกิน นมสด ไม่มีกลิ่นสาบอย่างที่คิด กินง่าย จืดๆ มันๆ หรือจะใส่น้ำตาลทรายแดงผสมถั่วลงไปเพิ่มความหวานหอมก็อร่อยไปอีกแบบ ส่วนโยเกิร์ตลักษณะคล้ายกรีกโยเกิร์ตแต่เหลวกว่า ที่สำคัญคือเปรี้ยวและซ่ามากกกก กินไปคำแรกแทบกรี๊ดแตก ถามได้ความว่าเขาหมักเองเลยไม่ได้ปรุงรสแต่อย่างใด รสชาติธรรมชาติมากๆ แนะนำว่าเวลากินให้ใส่น้ำตาลทรายขาวลงไปด้วยเพื่อตัดรสเปรี้ยว

 

 

โยเกิร์ตจามารี

 

 

เดินออกมาจากเมืองเก่าไม่ไกลเราก็เจอกับวัดกุยชาน (Guishan Temple) หรือวัดต้าฝอ วัดนี้ตั้งอยู่บนเขา เอกลักษณ์คือเปิดให้เที่ยวกันแบบ 24 ชั่วโมง ในยามค่ำคืนจะเปิดไฟให้เห็นแสงสีที่ประดับประดาไว้ที่ตัววัดและบริเวณโดยรอบ

 

 

สำหรับแลนด์มาร์คที่พลาดไม่ได้คือ การหมุนกงล้อยักษ์สีทอง คนทิเบตเชื่อกันว่าการหมุนกงล้อเท่ากับการสวดภาวนา ส่วนใหญ่นิยมมาหมุนเพื่อขอพรกัน 

 

 

กงล้อยักษ์สีทองเเห่งความศรัทธา​

 

 

เราตื่นกันแต่เช้าตรู่ เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปยังหมู่บ้าน RIWA เมืองหน้าด่านของย่าติง ใช้เวลาร่วม 8 ชั่วโมง ผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า กว่ารถบัสจะพาเรามาถึงก็เกือบจะเย็นแล้ว 

 

 

วิวระหว่างเดินทาง บ้านเล็กๆ​ ที่ตั้งอยู่บนภูเขา

 

 

RIWA เป็นหมู่บ้านเล็กๆ รายล้อมไปด้วยภูเขา แต่ดูเจริญกว่าที่คิด ตึกรามบ้านช่องก็มีเอกลักษณ์ สวยแปลกตาเราพักที่นี่หนึ่งคืนก่อนพรุ่งนี้จะต้องนั่งรถบัสเข้าไปอุทยานแห่งชาติย่าติง 

 

 

วิวรอบๆ​ เมือง

 

 

 

ตึกอันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่

 

 

เราตัดสินใจพักภายในอุทยานเพื่อความสะดวกและเพื่อปรับตัวกับภาวะออกซิเจนที่น้อยลง ในตอนนี้ไม่รู้เลยว่าอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลกี่พันเมตร รู้แต่เพียงจังหวะหัวใจของเรานั้นเต้นรัวและเร็วมาก ทั้งจากความสูงและความสวย เพราะ Aden Village หมู่บ้านเล็กๆ ที่เรามาพักแห่งนี้ มีวิวที่เอเดนสมชื่อจริงๆ มองไปทางไหนก็เจอภูเขาและธรรมชาติที่รายล้อม สวยประทับใจมากๆ 

 

 

 ถึงเเล้ววว aden village 

 

 

 

ที่พักของเราในวันนี้

 

 

 

วิวตอนเช้าคือดีงามมากกก

 

 

หลังจากผ่านการเดินทางมาอย่างยาวนานในที่สุดก็ได้เจอกันสักทีนะ ‘ย่าติง’ เธอช่างสวยงดงาม อลังการเกินคำบรรยายจริงๆ เป็นอุทยานที่บอกได้เลยว่าคุ้มค่าในการเสียเหงื่อเสียเงินมามาก อุทยานนี้มีรูทการเดินทางอยู่ 2 รูทด้วยกัน คือ รูทสั้นเดินไปทะเลสาบไข่มุก และรูทยาวเดินไปทะเลสาบน้ำนมและห้าสี ระยะทางร่วม 15 กิโลเมตร ยิ่งเดินสูงขึ้นอากาศก็ยิ่งน้อยลง ทำให้เราต้องสูดออกซิเจนกระป๋องกันไปตลอดทาง แม้จะเหนื่อยแต่คุ้มเพราะทั้งทะเลสาบทั้งวิวระหว่างทางคือสวยอลังการดาวล้านดวงจริงๆ

 

 

เริ่มต้นการเดินด้วยวิวหลักล้าน

 

 

 

ทะเลสาบน้ำนม

 

 

 

จามารีขนปุกปุย

 

 

เมื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติจนเต็มอิ่ม ก็ถึงเวลาต้องบ๊ายบายกันแล้ว เราเดินทางกลับโดยมุ่งหน้าไปยังเมืองเต้าเฉิง (Daocheng) เพื่อหารถบัสต่อไปยังเมืองลี่เจี่ยง

 

 

วิวตอนนั่งรถไปเมืองเต้าเฉิง

 

 

ระหว่างเดินเซอร์เวย์หาของกิน ก็เจอเข้ากับร้านชาบูหม่าล่าร้านหนึ่ง มาเยือนมณฑลเสฉวนทั้งที ต้องลองหม่าล่าแบบออริจินัลสักหน่อย น้ำซุปที่เลือกมามีทั้งซุปหม่าล่าและซุปใส ร้านนี้เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ เลือกหยิบเนื้อสัตว์ ผัก และอื่นๆ ได้ตามชอบ เนื้อสัตว์จะเสียบเป็นไม้ๆ ไว้ มีน้ำจิ้มให้เลือกปรุงเอง มีความหลากหลายดี น้ำซุปใสกลมกล่อมใช้ได้ ส่วนน้ำซุปหม่าล่านั้นโคตรจะเข้มข้น ดูจากสีได้ กลิ่นพริกจัดเต็มเผ็ดขึ้นหัวสุดๆ กินได้ไม่นานก็ต้องยอมแพ้ คะแนนโดยรวมถือว่าดี รสชาติอร่อยสมกับเป็นบ้านเกิดหม่าล่า 

 

 

ในหม้อเเบ่งครึ่งได้มีทั้งน้ำซุปใสเเละน้ำซุปหม่าล่า

 

 

ก่อนกลับไปขึ้นเครื่องบินที่คุนหมิง เราแวะเที่ยวลี่เจียงก่อน 1 วัน ย่านเมืองเก่าลี่เจี่ยง (Lijiang Old Town) เป็นสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลก อาคารทรงเก่าโบราณที่ได้รับการดูแลบำรุงรักษาเป็นอย่างดี คือสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเมืองนี้ดีนักแล ภายในมีร้านขายของทั้งของฝาก ร้านอาหาร คาเฟ่ ขายเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มากมาย เดินกันจนขาลากก็ยังไม่ครบ 

 

 

วิวยามค่ำคืน

 

 

Lijing baba ของขึ้นชื่อของที่นี่ เป็นแป้งทอดเหมือนแพนเค้ก ทำจากแป้งสาลี ไข่ ธัญพืช รสชาติเค็มๆ มันๆ กรอบนอกนุ่มใน กลิ่นหอมคล้ายไข่เจียว

 

 

ทำแป้งใหม่ๆ​ สดๆ​ กันเลย

 

 

 

lijiang baba ร้อนๆ​ จากเตา

 

 

อร่อยกินเพลินๆ ขนมหน้าตาเหมือนขนมปังสังขยานี้จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่เห็นว่าแปลกดี อีกทั้งหน้าร้านเขียนว่าขนมโบราณเลยลองซื้อมาชิม ผลคือรสชาติเหมือนขนมโก๋ยังไงยังงั้น ด้านบนเป็นน้ำตาลเคี่ยวกับถั่วลิสงหวานๆ มันๆ ด้านล่างเป็นขนมปังแห้งๆ ฝืดคอใช้ได้เลย

 

 

ถึงเวลาที่จะต้องโบกมือลาจริงๆ แล้วสิ การมาจีนครั้งแรกของเรานับว่าเป็นประสบการณ์ที่โคตรสนุกในชีวิตเลย ทั้งวัฒนธรรม วิถีชีวิต ภาษา อาหารการกินอร่อยถูกปาก ผู้คนก็อัธยาศัยดี ยิ่งรู้ว่าเราเป็นคนไทยนะยิ่งชวนคุยใหญ่ ไม่ถามเล้ยว่าฟังรู้เรื่องไหม ได้พบเจอได้รู้อะไรหลายอย่างที่คิดว่าคงจะไม่เจอที่ไหนนอกจากที่นี่แน่ๆ แม้เส้นทางจะลำบากไปบ้าง ต้องนั่งรถข้ามภูเขาเป็นสิบๆลูกผ่านเส้นทางขรุขระมากมาย ใช้ทั้งพลังกายและพลังใจแบบสุดๆ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือเรื่องราวระหว่างการเดินทางที่เราจะจดจำไปตลอด แล้วพบกันใหม่นะ ประเทศจีน…再见!    

Share this content

Contributor

Tags:

ร้านอร่อยรอบโลก, อาหารจีน

Recommended Articles

Food Storyเครื่องบะกุดเต๋ มีอะไรบ้างนะ?
เครื่องบะกุดเต๋ มีอะไรบ้างนะ?

ชวนทำความรู้จักกับเครื่องยาและสรรพคุณ จากบะกุดเต๋หม้อโปรด

 

Recommended Videos