ร้านเบเกิลแสนอร่อยที่ชาวเกาหลีเครซี่มาก ต่อแถวหลายชั่วโมงก็ไม่หวั่น
บอกแล้วว่าไปเการอบนี้คือไปตะลุยกิน และในฐานะธิดาคาร์โบฯ แน่นอนว่าเราจะพลาดร้านนี้ไปไม่ได้ เพราะ London Bagel Museum คือร้านขายเบเกิลที่อร่อยที่สุดในเกาไหมไม่รู้ แต่ป๊อปสุดและขึ้นชื่อลือชาเรื่องรอคิวยาวววววว จริงๆ LBM เปิดร้านมาในช่วงโควิด ซึ่งก็แปลว่าเปิดมา 2-3 ปีแล้ว แต่ฝูงชนก็ยังแห่แหนไปกินนางแบบมหาศาลไม่เลิกไม่รา อ่ะ ว่าแล้วสาวไทยใจแกร่งก็ไปต่อสู้แย่งชิงคิวกับเขาด้วย
ร้านเปิด 09:00 น. แก๊งเราไปถึงตอนอีกสิบนาทีจะเก้าโมง แต่คุณพระ! หน้าร้านเต็มไปด้วยชาวเกายืนๆ นั่งๆ กันแบบที่เรียกว่าเต็มไปหมด เอาละ ทำใจดีๆ แล้วเดินไปที่น้องสต๊าฟซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ตู้กดคิว ความยากอันดับแรกคือน้องพูดอังกฤษได้แค่นิดหน่อย และเราต้องกดคิวที่ตู้ซึ่งต้องใส่หมายเลขมือถือเกาหลี เพื่อที่พอถึงคิวจะมี sms แจ้งมา แต่ทีมเราไม่มีใครมีเบอร์เกาหลีเลย น้องบอกไม่ต้องใส่เบอร์ก็ได้ แต่ต้องขยันดูคิวเองนะ เพราะจะไม่มีการแจ้ง ได้ กดคิวป้าบ เลขที่ออกคือ 274 แม่จ๋า! ตอนนั้นคิวที่ 1 ยังไม่ได้เข้าร้านเลยแกรรรร! และนี่ขนาดเลือกคิวแบบ take away (ถ้าเลือกแบบนั่งกินในร้าน การรอคิวน่าจะโหดกว่านี้อีก) ยืนดูท่าที กะประมาณว่าแต่ละคิวใช้เวลาสักแค่ไหนนะ ก็ประเมินว่ากว่าจะถึง 274 ของเราน่าจะสองชั่วโมงอัพ ว่าแล้วก็ไปเดินหาคาเฟ่นั่งรอ เจอคาเฟ่คัพเค้กเล็กๆ น่ารักเลยเข้าไปสั่งกาแฟกับคัพเค้กกิน แต่เจ้าของร้านบอกว่านั่งได้แค่ 20 นาทีเท่านั้นนะ อ้าว! อันนี้คาดว่าอาจจะโดนเหล่าผู้รอคิว LBM มานั่งยาวๆ และร้านเขาก็เล็กจิ๋วมาก เลยออกกฎไว้ สรุปนั่งกันอยู่ได้สักครึ่งชั่วโมงก็ต้องออกไปยืนรอคิว ซึ่งใช้เวลารอทั้งสิ้น 2 ชั่วโมงครึ่งไปเลยจ้ะ ตอนที่ถึงคิวเข้าร้านฟีลประหนึ่งได้แชมป์โลก อยากจะกระโดดหมุนตัวเต้นระบำ 3 รอบ!
เดินเข้าไปในร้านก็ตื่นตาตื่นใจกับการตกแต่งสุดน่ารัก ได้ฟีลเหมือนร้านเบเกอรี่ที่อังกฤษสมชื่อจริง แต่ที่ตื่นตาสุดๆ ก็แน่นอนว่าคือสารพัดเบเกิลที่แต่ละชิ้นใหญ่บึ้ม แถมยังมีสารพันชนิด กวาดตามองคร่าวๆ น่าจะเฉียด 20 ให้เลือกสรรกันจนตาลาย แถมมีทั้งคาวทั้งหวานละลานตา สมกับเป็นสวรรค์ของคนรักเบเกิลที่แท้ หยิบถาดได้ ก็ถึงเวลาเลือก ใจจริงอยากกินหมดทุกชิ้นให้คุ้มกับ 2 ชั่วโมงครึ่งที่รอมา แต่ชิ้นเขาใหญ่มากจริงๆ กินชิ้นเดียวก็อิ่มแทนข้าวได้มื้อหนึ่งเลย ว่าแล้วก็ตัดใจเลือกมา 6 ชิ้น คละกันไปทั้งตัวซิกเนเจอร์และที่อยากกินเอง ได้แก่ Jambon Butter, Black Olive, Potato Cheese, Peperoni Cheese, Butter Salt, Plain Bagel ซึ่งกว่าจะได้ลองลิ้มชิมรสก็ปาไปอีกชั่วโมงกว่า (ไม่ได้นั่งกินในร้านอ่ะนะ ต้องไปเดินหาที่ที่จะกินได้ เพราะชิ้นเขาใหญ่มากจริงๆ จะถือเดินกินก็ไม่ถนัด) ขนาดกินตอนไม่อุ่นไม่ใหม่สดแล้ว แต่แป้งโดว์ยังคงนุ่ม หนึบ เนื้อแน่นแต่ไม่แข็งไม่เหนียวเลย
ส่วนตัวชอบตัว Plain Bagel หรือเบเกิลเปล่าๆ ไม่มีรสใดๆ เพราะได้ซึมซับรสชาติเค็มนิดๆ กับตัวแป้งที่นุ่มหนึบชัดเจน Butter Salt ก็คล้ายๆ กันแต่เพิ่มรสเค็มมากหน่อย Peperoni Cheese อันนี้ออกรสเผ็ดชัดเจน เพราะมีพริกหั่นแว่นสอดแทรกอยู่ในเนื้อเบเกิล กัดไปโดนก็จะเผ็ดในระดับที่คนกินส้มตำใส่พริก 3 เม็ดแบบเรารู้สึกว่าเผ็ดเกินไป แสบปาก น้ำตาไหลกันเลยทีเดียว Potato Cheese ตัวฮิตตัวดังที่อร่อยสมราคา เนื้อแป้งนุ่มๆ หนึบๆ ด้านในสอดไส้มันฝรั่งนุ่มๆ ด้านบนโปะชีสเค็มๆ มันๆ ชาวแก๊งบอกว่าอร่อยสุด Jambon Butter อีกหนึ่งซิกเนเจอร์ก็คือใส่แฮมมาแบบไม่กั๊กกับชีสและเนยรสเค็มเข้ากันดี ชิ้นนี้เรียกว่ากินไปครึ่งเดียวก็อิ่มแบบไม่ต้องกินข้าวแล้ว Black Olive ก็รสนัวละมุนด้วยความเค็มนิดๆ ของแป้งโดว์กับโอลีฟหั่นแว่นกระจายไปทั่วก้อน ส่วนสนนราคาเริ่มที่ 3000 กว่าวอนไปจนถึง 7000 กว่าวอน
เรียกว่ากินเบเกิลที่นี่แล้วจะลืมเบเกิลร้านเชนในกรุงเทพฯ ที่กินกันมาทั้งชีวิตไปเลย เพราะเหมือนเป็นอาหารคนละชนิด และก็ยังไม่เคยเจอเบเกิลที่เนื้อดีขนาดนี้มาก่อน สมแล้วกับที่ป๊อปปูลาร์ระดับคนยอมรอคิวกันเป็นหลายๆ ชั่วโมง ถ้ากลับไปเกาอีกก็จะไปต่อคิวอีก ตั้งใจว่าจะเลือกไปวันธรรมดาที่คิวน่าจะน้อยกว่า (รอบนี้ดันไปวันเสาร์ โห้ย!) และจะลองสู้คิวแบบนั่งกินที่ร้านดู เพราะร้านน่ารักอังกริ๊ดอังกฤษมากจริงๆ หรือถ้าไม่ไหวจะรอก็ไปสาขา Dosan ที่เขาว่าไม่ต้องต่อคิว
พิกัด: สถานี Anguk ทางออก 2 เป็นร้านสาขาแรกต้นตำรับ แต่ยังมีสาขา Dosan อีกแห่ง
ภาพ: https://judyer.com/londonb/
https://m.blog.naver.com/kimjy19990/222963949783
Contributor
Recommended Articles
Recommended Videos