เปิด "ตำราอาหาร" ได้ที่นี่

 

food story

ย้อนรอยสำนวน “กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่” ที่วันนี้ไม่มีไพร่ เพราะคนไทยติดหวาน!

Story by ศรีวิการ์ สันติสุข

หมดยุคไพร่ที่ไม่มีของหวานจะกิน ตอนนี้คนไทยกินหวานกันอย่างหนัก

เชื่อว่าแทบทุกคนต้องเคยได้ยินประโยค ‘กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่’ กันมาบ้าง สมัยนี้อาจจะเป็นแค่ประโยคพูดกันเล่นๆ สำหรับคนที่รักการกินของหวานเป็นชีวิตจิตใจ แต่มองให้ลึกลงไปเมื่อแรกเริ่มนั้น สำนวนนี้เกิดขึ้นพร้อมเบื้องลึกเบื้องหลังว่าด้วยรสหวานที่ถูกนำมาแบ่งแยกชนชั้นในสังคมไทยอย่างชัดเจน

 

 

 

 

ผศ.ดร.ชาติชาย มุกสง อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้เขียน ‘ปฏิวัติที่ปลายลิ้น ปรับรสแต่งชาติ อาหารการกินในสังคมไทยหลัง 2475’ อธิบายถึงรสชาติหลักก่อนการรณรงค์เรื่องโภชนาการให้กินโปรตีนมากขึ้น และกินกับให้มากขึ้นช่วงปี พ.ศ.2475 ว่ารสหลักของคนไทยเดิมคือรส ‘เค็มและเผ็ด’ เพราะต้องการกินข้าวให้มาก กินกับให้น้อย อีกทั้งเหตุผลสำคัญอีกข้อคือน้ำตาลเป็นสินค้านำเข้าจึงมีราคาสูง

 

 

 

 

น้ำตาล

 

 

 

 

ทั้งที่จริงแล้วสยามผลิตน้ำตาลทรายเองมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ตามที่พบในเอกสารของครอว์ฟอร์ด ที่เข้ามาในสยามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 แต่เป็นการผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น (น้ำตาลเป็นสินค้าอุตสาหกรรมแปรรูปจากพืชเศรษฐกิจของไทยชนิดแรกที่สยามส่งเป็นสินค้าออก) แต่ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบผูกขาด คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมน้ำตาลจึงมีเฉพาะเจ้าภาษีนายอากรที่เป็นเหล่าเจ้านายและขุนนาง ที่เป็นผู้ลงทุนและเจ้าของปัจจัยการผลิต ส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตและการค้าก็เป็นคนจีน คนไทยเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมผลิตน้ำตาลน้อยมากจนแทบเรียกได้ว่าไม่มีเลย

 

 

 

 

กระทั่งปี 2398 ที่สยามต้องเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ริง ทำให้การผูกขาดการค้าของรัฐไทยสิ้นสุดลง และต้องเข้าสู่ระบบการค้าแบบแข่งขันเสรีที่มีตลาดโลกเป็นตัวกำหนดราคา อุตสาหกรรมน้ำตาลทรายของไทยภายใต้ระบบผูกขาดอีกทั้งยังเก็บภาษีซ้ำซ้อนเป็นอุปสรรคในการพัฒนาอุตสาหกรรม แล้วยังต้องแข่งขันกับราคาน้ำตาลของตลาดโลก ในช่วงปี 2420-2460 ไม่เพียงราคาน้ำตาลตลาดโลกตกต่ำ ยังมีการค้นพบการทำน้ำตาลจากหัวบีต ยุโรปพัฒนาการทำน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ฟิลิปปินส์และชวาเริ่มผลิตน้ำตาลทรายขาวคุณภาพสูงออกสู่ตลาด อุตสาหกรรมน้ำตาลของสยามจึงไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ นับจากปี 2440 สยามเลยหันมานำเข้าน้ำตาลทรายจากต่างประเทศ เพราะผลิตเองแล้วไม่คุ้มทุน และเปลี่ยนไปผลิตข้าวเพื่อส่งออกแทน พื้นที่ปลูกอ้อยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก็ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ปลูกข้าว

 

 

 

 

น้ำตาล

 

 

 

 

น้ำตาลทรายขาวนำเข้าเรียกว่าน้ำตาลชวา (นำเข้าจากชวาและฟิลิปปินส์) น้ำตาลนำเข้าหรือน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์นี้เป็นสินค้าที่ถูกบริโภคโดยชนชั้นสูง ผู้มีอันจะกินเท่านั้น เพราะเป็นของมีค่า หายาก ราคาแพง ส่วนชาวสยามโดยทั่วไปก็บริโภคน้ำตาลที่ผลิตกันเองในท้องถิ่น อาทิ น้ำตาลโตนด น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลจากหญ้าคา น้ำตาลทรายแดงที่ผลิตเพื่อตลาดในประเทศ

 

 

 

 

นี่เองที่เกิดการแบ่งแยกชนชั้นด้วย ‘รสชาติหวาน’ เพราะมีเพียงอาหารในราชสำนักหรืออาหารผู้ดีเท่านั้นที่มีรสชาติหวานด้วยน้ำตาลนำเข้า อีกทั้งขนมหวานต่างๆ นอกจากจะมีน้ำตาลนำเข้าที่หายากและราคาสูงเป็นส่วนประกอบก็ยังต้องอาศัยทั้งเวลาและความประณีตพิถีพิถันในการทำ เรียกว่าคนทำต้องรวยและมีเวลาเหลือเฟือจึงจะสามารถทำออกมาได้ ในขณะที่ชนชั้นไพร่ฟ้าลืมตาตื่นมาก็ต้องรีบกินอาหาร (อะไรก็ได้) รีบออกไปทำมาหากินเลี้ยงชีพ กลับบ้านก็หมดแรง เข้าไม่ถึงทั้งความหวานล้ำของน้ำตาลและไม่มีเวลาจะมาประดิษฐ์ประดอยทำขนมสุดประณีต จึงไม่สามารถกินของหวานได้อย่างเจ้าขุนมูลนาย จนเกิดเป็นสำนวนแบ่งแยกชนชั้น ‘กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่’ ขึ้นมา

 

 

 

 

น้ำตาล

 

 

 

 

ทว่าไพร่ก็ได้ขยับสถานะในไม่ช้า…

 

 

 

 

เพราะปริมาณการนำเข้าน้ำตาลทรายขาวสูงขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2477 มีการนำเข้าน้ำตาลมากถึง 30,000-40,000 เมตริกตัน คิดเป็นเงิน 4.5-5 ล้านบาท จึงมีความคิดจะตั้งโรงงานผลิตน้ำตาลทรายกันขึ้นมาอีกครั้ง ปี 2479 รัฐบาลก็ตกลงใจจะทำการผลิตน้ำตาลทรายเอง ปี 2480 มีการตั้งโรงงานน้ำตาลที่อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง โดยจ้างผู้เชี่ยวชาญจากฟิลิปปินส์มาเริ่มดำเนินงานให้ ก่อนจะขยายโรงงานไปที่อุดรธานี อุบลราชธานี ลำปางเพิ่มอีกสองโรง นครราชสีมา และชลบุรี เอกชนเองก็มีการตั้งโรงงานที่สันกำแพง เชียงใหม่ ลำปาง สกลนคร และชลบุรี

 

 

 

 

เมื่อเข้าสู่ช่วงสงครามโลก เกิดภาวะขาดแคลนน้ำตาลทรายขาว รัฐเลยแก้ปัญหาด้วยการออกกฎหมายห้ามส่งออกน้ำตาลในช่วงสงคราม ถึงอย่างนั้นในปี 2490 ไทยก็ยังขาดแคลนน้ำตาลที่จะตอบสนองผู้บริโภคในประเทศถึง 10 ล้านกิโลกรัม รัฐบาลจึงมีนโยบายส่งเสริมการเปิดโรงงานน้ำตาล ส่งผลให้ปี 2503-2504 คราวนี้ไทยประสบปัญหาน้ำตาลล้นตลาด ด้วยความที่รัฐต้องอุ้มชูอุตสาหกรรมน้ำตาลในประเทศ เลยต้องหาทางแก้ไขกันด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนบริโภคน้ำตาลให้มากขึ้น ถึงกับจัดไว้เป็นหนึ่งในอาหารหมู่ที่หนึ่งในอาหารห้าหมู่ โดยบอกว่าการกินน้ำตาลในอาหารเช้าจะทำให้ร่างกายแข็งแรง… ว่าซ่าน

 

 

 

 

รณรงค์กันอย่างจริงจัง ทั้งโฆษณา ทั้งขยายตลาดน้ำตาลทรายไปยังชนบท ชูจุดขายว่าน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์นั้นเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัย ความมีมาตรฐาน สะอาดเมื่อเทียบกับน้ำตาลท้องถิ่นที่คุณภาพไม่สม่ำเสมอ ใช้ยาก เก็บรักษายาก ดูสกปรก เช่น ในน้ำอ้อยอาจมีแมลงวันหรือสิ่งอื่นๆ ปะปน แถมยังบูดง่าย

 

 

 

 

น้ำตาล

 

 

 

 

ด้วยพลังแห่งมาร์เกตติ้งนี้เอง น้ำตาลอุตสาหกรรมก็จึงค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่ชาวไทยทั่วทุกระดับ ในที่สุดก็เข้าไปแทนที่น้ำตาลพื้นเมือง และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทยนับแต่นั้น ทีนี้ทุกคนก็บริโภคน้ำตาลกันอย่างถ้วนหน้า จริงจัง เข้มข้น จนถึงขั้นที่ว่าในปี 2566 ปริมาณการบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยของไทยนั้นสูงกว่าปริมาณที่แนะนำถึง 4 เท่า จากที่ควรกินเพียง 6 ช้อนชาต่อวัน ทะลุไปถึง 25 ช้อนชา และทำให้มีการเก็บ ‘ภาษีความหวาน’ มาตั้งแต่ปี 2560 เพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มลง จะได้เสียภาษีน้อยลง ซึ่งเมื่อวันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตก็ปรับขึ้นภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาลเข้าสู่ระยะที่ 4 โดยมีเป้าหมายเพื่อดูแลสุขภาพคนไทยให้ห่างไกลจากโรคอ้วน เบาหวาน และความดัน

 

 

 

 

ปัจจุบันคนไทยจึงไม่น่าจะมีใครเป็นไพร่แล้ว เพราะไม่ใช่แค่กินหวานกันถ้วนหน้า ยังกินหวานเกินปริมาณอีกด้วย!

 

 

 

 

ภาพ: https://progress-screens.com/wp-content/uploads/rzemysl-cukrowniczy_173065202_l-1440×960.jpg

 

 

 

 

https://surowater.com/wp-content/uploads/2024/12/Kontraktor_IPAL_Limbah_Sugar.jpg

 

 

 

 

https://sawasdee.thaiairways.com/wp-content/uploads/2024/02/TH8-1-1160×775.jpg

 

 

 

 

https://www.sugarsaltmagic.com/wp-content/uploads/2021/10/Black-Velvet-Cake-6FEAT.jpg

 

 

 

 

https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2023/12/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%B52567.png

 

 

 

 

https://sugar-asia.com/wp-content/uploads/2020/11/download-1-1-800×445.jpg

 

 

 

 

https://sugar-asia.com/wp-content/uploads/2019/03/Sugar-1.jpg

 

 

 

 

https://www.mashed.com/img/gallery/the-best-time-to-eat-dessert-might-surprise-you/intro-1626220532.jpg

 

 

 

 

https://www.mashed.com/img/gallery/the-best-time-to-eat-dessert-might-surprise-you/the-best-time-to-eat-dessert-depends-1626219636.jpg

 

 

 

 

ที่มา: https://www.wongnai.com/food-tips/how-sugar-change-thai-perception?ref=ct

 

 

 

 

https://www.thaipbs.or.th/program/TheDeathOfKhunphra/watch/t8wf6m

Share this content

Contributor

Tags:

ขนมหวาน, เครื่องดื่ม

Recommended Articles

Food Storyแผลเล็กที่ปลายนิ้วสู่การกำเนิดน้ำตาลอัดก้อนสี่เหลี่ยม
แผลเล็กที่ปลายนิ้วสู่การกำเนิดน้ำตาลอัดก้อนสี่เหลี่ยม

บาดแผลเล็กๆ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ในวงการน้ำตาล

 

Recommended Videos