เปิด "ตำราอาหาร" ได้ที่นี่

 

food story

“Let them eat cake.” ประโยคหัวขาดที่ มารี อ็องตัวแน็ต ไม่ได้พูด

Story by เสาวลักษณ์ เชื้อคำ

ทำไมการให้ไปกินเค้กถึงสร้างความเดือดดาลจนจุดชนวนการปฏิวัติได้?

“Let them eat cake.” เป็นประโยคสุดคลาสสิกที่ได้ยินทีไรเราก็นึกไปถึงภาพพระนางมารี อ็องตัวแน็ต ราชินีองค์สุดท้ายของฝรั่งเศสถูกบั่นพระศอ​ (คอ) ด้วยกิโยติน (แม้ว่าเราจะไม่เคยเห็นภาพนั้นจริงๆ ก็ตาม) และสำหรับใครที่ยังนึกไม่ออกว่าประโยคนี้มันไปเกี่ยวกับกิโยตินและการเป็นราชินีองค์สุดท้ายของประเทศได้อย่างไร วันนี้ฉันจะขอชวนมาอ่านประวัติศาสตร์สนุกๆ ว่าด้วยประโยค “Let them eat cake.” กันค่ะ

 

 

 

 

Let them eat cake. (Let them eat brioche)
ประวัติศาสตร์กระแสหลักที่ทุกคน (อยาก) เชื่อ

 

 

 

 

พระนางมารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) คือราชินีองค์สุดท้ายก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสและการล้มล้างระบอบกษัตริย์ในปี ค.ศ.1792 เรื่องเล่าประจำพระองค์ของราชินีองค์นี้คือความรักสวยรักงาม แต่งตัวฟุ้งเฟ้อ และใช้เงินมหาศาลไปกับการกินอยู่อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ท่ามกลางความสั่นคลอนง่อนแง่นทางเศรษฐกิจและการเมืองของฝรั่งเศส ณ ขณะนั้น

 

 

 

 

และจุดจบที่เราได้ยินกันมาเสมอก็คือ เมื่อพระนางทรงทราบว่าประชาชนกำลังอยู่ในภาวะยากจนข้นแค้นจนแทบไม่มีขนมปังกิน พระองค์ก็มีรับสั่ง “ให้พวกเขากินเค้กสิ” (Let them eat cake) เพราะทรงไม่เข้าใจว่า การไม่มีขนมปังกินนั้นหมายถึงการไม่มีแม้กระทั่งคาร์โบไฮเดรตพื้นฐาน จะสามารถไปกินเค้กซึ่งเป็นของหรูหราเพราะผลิตจากไข่ นม และเนยปริมาณมากได้ยังไง ประโยคนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความไม่สนพระทัยต่อความเป็นอยู่ของราษฎร เหมือนบอกให้คนที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน ให้ไปกินก๋วยเตี๋ยวทองสมิทธิ์แทนทำนองนั้น

 

 

 

 

เรื่องมักเล่ากันว่า เมื่อประชาชนอดอยากก็เริ่มมีการรวมตัวกันเพื่อร้องขออาหารจากแวร์ซายส์ และเมื่อความวุ่นวายโกลาหลดังกล่าวทราบไปถึงพระเนตรพระกรรณ พระนางมารีก็รับสั่งประโยคดังกล่าวออกมาอย่างไม่เดียงสา ประโยคนี้โหมความเดือดดาลที่มีอยู่เดิมของประชาชนให้ลุกโชนยิ่งขึ้น จนจุดชนวนให้เกิดการบุกเข้าไปขโมยสรรพาวุธและกลายเป็นการปฏิวัติฝรั่งเศสไปในที่สุด

 

 

 

 

หากแต่ว่า ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นไหนเลยที่ระบุได้ว่า มารี อ็องตัวแน็ต เป็นผู้พูดประโยคนั้นออกมาจริงๆ

 

 

 

 

ประโยคนี้ถูกกล่าวถึงในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสจริง แต่ยิ่งสืบสาวราวเรื่องไปก็ยิ่งพบว่าการกล่าวถึงทั้งหมดเป็นการกล่าวลอยๆ ประเภทว่า “มีเรื่องเล่าว่า” หรือ “เคยอ่านเจอในหนังสือมาว่า” และประโยคตั้งต้นดั้งเดิมคือ “Qu’ils mangent de la brioche” หรือ “Let them eat brioche” ต่างหาก

 

 

 

 

ขนมปังบริยอช เป็นขนมปังสัญชาติฝรั่งเศสที่มีเนื้อนิ่ม เพราะใส่เนย นม และไข่ไก่ มากกว่าขนมปังทั่วไป ความนิ่มและความ ‘ร่ำรวย’ ของการกินบริยอชนี้เองที่อาจจะทำให้เกิดการ lost in translation จากบริยอชกลายเป็นเค้ก หรืออาจจะเป็นการตั้งใจแปลโดยเปลี่ยนชื่อเมนูเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นก็เป็นได้

 

 

 

 

นักประวัติศาสตร์พยายามศึกษาถึงที่มาที่ไปของประโยค “Qu’ils mangent de la brioche” และเชื่อว่าว่า ประโยคนี้น่าจะมาจากหนังสือที่ชื่อว่า ‘คำสารภาพ’ (Confessions) ของ ฌ็อง-ฌาร์คส์ รุสโซ (Jean-Jacques Rousseau) นักเขียนและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ที่มาของประโยคนี้คือเล่าถึงความกระอักกระอ่วนตอนที่อยากจะซื้อขนมปังสักก้อนมากินแกล้มกับไวน์ แต่ทว่าตัวเขาเอง ณ ขณะนั้นแต่งตัวหรูหราเกินไป จนไม่อาจเข้าร้านขนมปังปอนๆ ทั่วไปได้ จึงนึกถึงประโยคที่ราชินีองค์หนึ่งรับสั่งกับชาวบ้านจนๆ ที่ไม่มีปัญญาแม้แต่จะกินขนมปัง ว่า “Let them eat brioche” เท่านั้นเอง ความน่าสนใจคือ หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ก่อนเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสไปหลายสิบปี ตั้งแต่ที่มารี อ็องตัวแน็ต ยังประทับอยู่ที่ออสเตรียเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงค่อนข้างแน่ชัดว่า เรื่องที่ว่าประโยคนี้ออกจากปากของพระนางท่ามกลางความชุลมุนในราชสำนักของฝรั่งเศสนั้นไม่ใช่เรื่องจริง

 

 

 

 

พูดก็ไม่รอด ไม่พูดก็ไม่รอด

 

 

 

 

หากมารี อ็องตัวแน็ต ไม่ได้พูดประโยคในตำนานขึ้นมา เหตุใดประชาชนชาวฝรั่งเศสจึงยังโกรธแค้น และมารี อ็องตัวแน็ต ยังถูกบั่นหัว จนได้ชื่อว่าเป็นราชินีองค์สุดท้ายในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสอยู่ดี?

 

 

 

 

หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ต้องเรียกว่าพระนางมารี อ็องตัวแน็ต ไม่ใช่ราชินีคนโปรดของชาวฝรั่งเศสอยู่แล้วเป็นทุนเดิม อันที่จริงพระนางทรงเป็นราชินิคน ‘ไม่’ โปรดของฝรั่งเศสเสียด้วยซ้ำ เพราะพื้นเพพระนางมาจากราชวงศ์ออสเตรียซึ่งเป็นศัตรูตลอดกาลของฝรั่งเศส และมาอภิเษกกับ เจ้าชายหลุยส์ โดแฟ็ง มกุฎราชกุมารแห่งฝรั่งเศส (ซึ่งภายหลังได้เป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 16) ด้วยเหตุผลทางด้านการเมืองการปกครองเป็นสำคัญ มารี อ็องตัวแน็ต ถูกเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสและกลุ่มศาสนาตั้งแง่คัดค้านตั้งแต่การอภิเษกตั้งยังไม่เกิดขึ้น และถูกเรียกว่าเป็น ‘ผู้หญิงออสเตรีย’ ตั้งแต่ยังไม่ได้อภิเษกเสียด้วยซ้ำ

 

 

 

 

ชีวิตสมรสของพระนางมารีก็ไม่ได้ราบรื่น ทั้งความหมางเมินจากพระสวามี และความกดดันของการเป็นเจ้าหญิงจากประเทศ (อดีต) ศัตรูที่จากบ้านเกิดมาอยู่ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องทุกกิจวัตร กระนั้นโชคชะตาก็ยังส่งพระนางขึ้นไปเป็นราชินีเมื่อเจ้าชายหลุยส์ โดแฟ็ง ได้ขึ้นครองราชเป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แน่นอนว่าความเกลียดชังต่อพระนางมารีที่เกิดขึ้นไม่ได้จากไปไหน ซ้ำยังเข้มข้นขึ้นกว่าเดิมเมื่อประชาชนเห็น (และได้ยินข่าว) ถึงการใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย ถูกแจกใบปลิวโจมตีว่ามีความสัมพันธ์กับชายอื่น กระทั่งถูกครหาว่าโอรสธิดาของนางไม่ได้มีเชื้อสายของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เนื่องจากพฤติกรรมคบชู้สู่ชายที่เล่าลือกันอยู่เสมอ

 

 

 

 

ความไม่พอใจต่อ ‘ผู้หญิงออสเตรีย’ ในราชสำนักฝรั่งเศสโหมให้แรงขึ้นทั้งจากข่าวซุบซิบและการการตำหนิต่อหน้าในพิธีสำคัญ แน่นอนว่าพระนางมารีเป็นทุกข์และพยายามปรับตัวอยู่หลายครั้ง แต่วิถีความวิจิตรละเมียดละไมและยิ่งใหญ่อลังการของราชวงศ์ฝรั่งเศสก็ไม่ได้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นให้กับการปกครองภายใต้ระบบกษัตริย์มากนัก โดยเฉพาะเมื่อประชาชนชาวฝรั่งเศสกำลังประสบปัญหากับความยากจนอย่างหนัก

 

 

 

 

ความผันผวนและเปราะบางของการเมืองการปกครองขณะนั้นก็นำไปสู่การลุกฮือเข้าต่อต้านอำนาจรัฐจากประชาชน จนพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ถูกประหารในช่วงต้นปี ค.ศ.1793 ส่วนพระนางมารีเองก็ถูกฟ้องร้องโดยประชาชนชาวฝรั่งเศสในข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับมหาอำนาจต่างชาติ แน่นอนว่าคณะลูกขุนต่างลงความเห็นให้พระนางมารีมีความผิดทุกประการจึงถูกตัดสินประหารชีวิตโดยกิโยตินไปด้วยอีกคนในท้ายที่สุด

 

 

 

 

จากประวัติที่ไล่เรียงมานี้ ไม่มีการศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์แม้แต่ชิ้นเดียวที่ยืนยันว่า พระนางมารีได้พูดประโยค “Let them eat cake.” ในตำนาน จึงมีการวิเคราะห์กันว่าอาจเป็นการสร้างวาทกรรมทางการเมืองเพื่อมุ่งเป้าความโกรธไปที่พระนางมารีซึ่งเป็นชาวออสเตรียและมีข่าวลือด้านลบสะสมมานาน

 

 

 

 

ความบีบคั้นทางการเมือง ความกินอยู่อย่างอู้ฟู้หรูหราบนความอดยากของประชาชน และเรื่องอื้อฉาวข่าวลือเกี่ยวอีกสารพัด จึงร่วมกันผลักให้พระนางมารีกลายเป็นเหยื่อของกิโยติน โดยไม่จำเป็นต้องพูดประโยคนั้นหรือประโยคไหนๆ เพื่อกระตุ้นความโกรธเกลียดของประชาชนเพิ่มเลย

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ภาพพระนางมารีถูกบั่นพระศอกลายเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติฝรั่งเศสมาจนถึงปัจจุบัน และเรื่อง “Let them eat cake.” ก็ยังถูกเล่าซ้ำอยู่เสมอ แม้ว่าจะไม่มีมูลความจริงก็ตาม อาจเป็นเพราะว่า ‘ไอเดีย’ ของเรื่องนำเสนอหัวใจของการปฏิวัติได้ดี และเรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องใกล้ตัวและทำให้คนมีอารมณ์ร่วมได้มากกว่าเรื่องเพชรนิลจินดาเสียด้วยซ้ำไป

 

 

 

 

ข้อมูลจาก
Did Marie-Antoinette Really Say “Let Them Eat Cake”?
Marie Antoinette

Share this content

Contributor

Tags:

ประวัติศาสตร์

Recommended Articles

Food StoryConfetti เกล็ดน้ำตาลหลากสีที่เปลี่ยนโลกของเบเกอรีไปตลอดกาล
Confetti เกล็ดน้ำตาลหลากสีที่เปลี่ยนโลกของเบเกอรีไปตลอดกาล

Confetti มาจากไหน เป็นรสอะไร และทำไมชาวเบเกอรีถึงรักมันมากนัก