ใครไปญี่ปุ่นเพื่อไปกินของอร่อยโดยเฉพาะ นี่คือลายแทง 3 ร้านโตเกียวที่คุณไม่ควรพลาด
เขาว่ากันว่า 60% ไปเที่ยวเพื่อไปกินของอร่อย คงจะจริงเพราะเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ในการไปเที่ยวแต่ละครั้ง ร้านอาหารแทบจะเป็นจุดมุ่งหมายหลักที่ทำให้เราอยากที่จะไปสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ เพราะไฮไลท์สำคัญของเราคือ ‘การกิน’ ก่อนจะไปเที่ยวลิสต์ของร้านอาหารจะถูกจดไล่เรียงลงมายาวเป็นหางว่าว จนไม่รู้จะเริ่มต้นจากร้านไหน มีทั้งร้านดังในหนังสือ ร้านดังในอินเตอร์เน็ต ร้านที่คนท้องถิ่นแนะนำ และร้านที่เขาว่าต้องลองไปชิมสักครั้งในชีวิต
เมื่อพูดถึงของกิน ‘ประเทศญี่ปุ่น’ คงเป็นหนึ่งในจุดหมายของนักชิมและนักท่องเที่ยวทั่วโลก และอาหารญี่ปุ่นคงติดอันดับหนึ่งในใจของใครหลายๆ คน ประเทศที่แม้แต่อาหารในร้านสะดวกซื้อยังสามารถทำให้เราอยากบินตามไปกินให้ได้
ทริปญี่ปุ่นในครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นจากจุดประสงค์หลักเพื่อไปเยี่ยมเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่มัธยมต้น เลยถือโอกาสลาหยุดยาวเพื่อไปเที่ยวญี่ปุ่นให้หน่ำใจไปเลย รวมแล้วทริปนี้กินเวลากว่า 10 วันโดยที่อยู่ในโตเกียวอย่างเดียวเท่านั้น เลยทำให้เรามีเวลาชิมร้านอาหารทั้งคาวและหวานกว่า 20 ร้าน จากร้านที่เราไปชิมมาทั้งหมดขอคัดร้านที่เด็ดที่สุดประจำทริปนี้ สามร้าน จากสามย่านในโตเกียว มาให้เพื่อนๆ ได้ไปลองกัน
Isshin-Tansuke
หลังจากเท้าก้าวแรกแตะพื้นสนามบินนาริตะ พูดกับตัวเองเลยว่าฉันต้องได้กินลิ้น! สำหรับชาวลิ้นเลิฟเว่อร์อย่างเราๆ คงพอจะได้จะได้เห็นคลิปลิ้นวัวย่างชิ้นโต ที่ย่างกำลังพอดีข้างนอกสีน้ำตาล พอหั่นไปข้างในเป็นสีชมพูที่ชุ่มไปด้วยน้ำของเนื้อ ไม่ว่ากี่ครั้งที่เห็นโพสต์แบบนี้ผ่านหน้าฟีต ร้อยทั้งร้อยมักปักหมุดอยู่ที่ญี่ปุ่น
มื้อพิเศษมื้อแรกที่ญี่ปุ่นเลยมาตกที่ Isshin-Tansuke ย่านอุเอโนะ (Google Map : https://maps.app.goo.gl/qTjh5SLTNgeev2kh7) เป็นหนึ่งในร้านยากินิคุที่เพื่อนชาวไทยที่เรียนมาที่ญี่ปุ่นลงคะแนนให้มากที่สุดว่า “ถ้าอยากกินบุฟเฟต์ลิ้นวัวย่างต้องไปที่นี่เท่านั้น” เมื่อเพื่อนพูดเชิญชวนให้ไปลองร้านนี้ขนาดนี้เราก็ต้องไป กว่า 80% ของร้านนี้ล้วนเป็นคนญี่ปุ่น มีเพียงแค่ไม่กี่โต๊ะเท่านั้นที่เป็นชาวต่างชาติ
ร้านนี้เหมาะกับคนชอบกินลิ้นวัวอย่างแท้จริง เพราะทางร้านชูเมนูเด่นเป็นลิ้นวัวที่คัดมาพิเศษ เมื่อลูกค้าเข้ามานั่งที่โต๊ะเพียงไม่กี่อึดใจ เตาสี่เหลี่ยมพร้อมกับถ่านที่ร้อนระอุจะมาอยู่ตรงหน้า รวมทั้งเครื่องจิ้มทั้งสี่แบบทั้งซอสยากินิคุ เลมอน เกลือพริกไทยและวาซาบิ เมนูแรกที่ทุกโต๊ะจะได้โดยที่ไม่ต้องสั่งคือ ชุดรวมลิ้นวัวคัดพิเศษ ประกอบด้วยลิ้นวัวที่หั่นมาแบบหนาพิเศษ หนากลาง และแบบบาง เมื่อเมนูนี้มาถึงพนักงานจะมาประจำที่โต๊ะเราและสอนวิธีการย่างของลิ้นแต่ละแบบ เพื่อให้ได้สัมผัสและรสชาติที่ดีที่สุด ส่วนที่เราชอบพิเศษคงจะเป็นลิ้นแบบหนาพิเศษและบาง
ทั้งสองตัวมีข้อดีและเสียต่างกัน แบบหนาพิเศษ จะมีความหนานุ่มจากไขมันวัวที่แทรกอยู่ในกล้ามเนื้อลิ้น แต่ต้องใช้ความอดทนในการย่างเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน เนื่องจากลิ้นที่มีความหนาหากใช้ไฟแรงเกินไปด้านนอกจะสุกจนเกรียมดำ แต่ข้างในยังคงไม่สุกและเหนียวจนเคี้ยวไม่ได้ ในทางกลับกันแบบบาง ลงฉ่าบนเตาเพียงครู่เดียวก็ได้ลิ้นย่างที่กรุบ ส่วนที่เกรียมขึ้นจากการโดนไฟแรงก็จะมีความกรอบและหอมกลิ่นเตาถ่าน แต่ความอร่อยนี้ต้องอาศัยความเร็วในการย่างที่พอเหมาะ ช้าไปแม้แต่เสียววินาทีเดียวลิ้นย่างที่บางเท่านี้จะได้รับความกรุบกรอบจากการไหม้แทน
นอกจากนี้ในร้านยังมีเมนูที่ทำจากลิ้นส่วนอื่นๆ ให้สั่งเพิ่มเติมได้อีกด้วย อย่างลิ้นบางซอสเกลือพริกไทยและต้นหอม ข้าวห่อสาหร่ายลิ้นวัวราดด้วยครีมเปรี้ยว และซุปลิ้นวัวตุ๋น ซึ่งเมนูเหล่านี้น่าจะเกิดมาจากความเสียดายเศษลิ้นที่เหลือจากการตัดแต่งลิ้นย่าง เพื่อไม่ให้เศษเหล่านี้เสียไปอย่างสูญเปล่า จึงเกิดเป็นเมนูใหม่นี้ขึ้น
Rakeru Dining
หลังจากที่เดินช้อปปิ้งกันมาทั้งวันเลยอยากหาร้านที่นั่งสบายๆ และอาหารที่ไม่ต้องหนักมาก เป็นอาหารจานเดียวสักมื้อ มื้อพิเศษอันดับที่สองเราเลยมากันที่ร้าน Rakeru Dining เป็นร้านข้าวห่อไข่ที่มีความเก่าแก่ประจำย่านชิบูย่า เปิดมาแล้วกว่า 60 ปี ร้านนี้มีหลายสาขาอยู่ในโตเกียว
วันนี้เรามากินกันที่สาขา Ikebukurohigashiguchiten (Google Map : https://maps.app.goo.gl/FgNVAXEsuuqtV9B27) กิมมิคหนึ่งของร้านนี้คือ หลายสาขาจะชอบซ่อนตัวอยู่ชั้นใต้ดิน บรรยากาศร้านอบอุ่น มีความเป็นญี่ปุ๊น…ญี่ปุ่นเหมือนที่เราเห็นในการ์ตูนยังไงยังงั้น โต๊ะทุกโต๊ะปูด้วยผ้าปูสีแดงลายตาราง ผนังติดวอลเปเปอร์สไตล์วินเทจ ตกแต่งด้วยตุ๊กตารูปสัตว์ให้ความรู้สึกถึงชนบทในอังกฤษ ซึ่งเข้ากับธีมอาหารของร้านนี้ซึ่งเป็นแบบ Japanese style western cuisine
เมนูหลักของร้านคือ Omu Rice หรือข้าวห่อไข่ราดด้วยต่างๆ อย่างซอสมะเขือเทศ ซอสเดมิกลาส ไวท์ซอสและซอสแกงกระหรี่ พร้อมด้วยท้อปปิ้งหลากหลายอย่าง เช่น แฮมเบิร์กที่ทำมาจากเนื้อวัวบดผสมกับเครื่องเทศปั้นก้อนและนำไปจี่บนกะทะ, โรสด์บีฟ, สเต็กไก่ รวมทั้งเนื้อตุ๋น เมนูที่เราเลือกสั่งในวันนี้เป็นเมนูออริจินัลของร้าน นั่นคือ ข้าวห่อไข่ โปะด้วยแฮมเบิร์กเนื้อ ราดด้วยไวท์ซอสและเดมิกลาส ไข่ที่ห่อมาบนข้าวมีสีเหลืองสวย มีความนุ่ม ส่วนตัวข้าวข้างในจะถูกผัดด้วยผงกระหรี่ซึ่งแตกต่างจากข้าวห่อไข่ตัวอื่นที่ข้าวจะถูกผัดด้วยซอสมะเขือเทศ ทำให้แตกต่างไปอีกแบบ ซอสรสชาติเข้มข้นแต่ไม่เหนียวข้นเกินไป กินรวมๆ เเล้วรสชาติมีความกลมกล่อม กำลังพอดี
นอกจากนั้นยังมีเมนูที่ไม่มีเนื้อสัตว์แต่สามารถครองใจเพื่อนร่วมทริปของเราได้ มาร้านนี้ที่ไรต้องสั่งทุกครั้ง นั่นก็คือเมนู ข้าวห่อไข่ผักโขม เมนูนี้ข้าวจะถูกโปะด้วยไข่ที่จะมีความเหลวและนุ่มกว่าจานที่เเล้ว ราดด้วยซอสผักโขมที่มีความข้นใส โรยด้วยสาหร่าย รสชาติอ่อนๆ สบายท้องเหมาะสำหรับกินเป็นมื้อเย็น
อีกหนึ่งเครื่องเคียงที่แสนธรรมดา แต่ต้องสั่งกันทุกโต๊ะคือ ขนมปัง ขนมปังทรงกลมแต่มียอดสามเหลี่ยมขึ้นมาสี่ยอดถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของร้านนี้ ขนมปังเนื้อนุ่มถูกอบร้อนโปะด้วยเนยก้อนใหญ่ ที่เมื่อโดนความร้านแล้วเนยจะละลายซึมเข้าสู่ขนมปังทันที เป็นเมนูขายดีจนต้องทำออกมาขายแบบสำเร็จรูปทั้งหน้าร้านและตามซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อกลับบ้านได้
Tsukemen Enji Kichijoji
มื้อพิเศษสุดท้ายนี้ขอยกให้กับร้านที่ธรรมดาที่สุด แต่กลับทำให้เราประทับใจมากที่สุด ยกให้เป็นอันดับหนึ่งของทริปนี้เลย Tsukemen Enji Kichijoji ซึ่งตั้งอยู่แถวย่านคิจิโจจินั้นเอง (Google map : https://maps.app.goo.gl/XbZnqYBjuEkyoEAp8)
เมนูเด่นของร้านนี้คือสึเคเมง หลายคนคงคุ้นชินกับราเมงธรรมดาที่เส้นจะเสิร์ฟมาในน้ำซุปอยู่แล้ว แต่เมนูนี้เป็นราเมงที่เส้นแยกกับน้ำ เวลากินเราจะหนีบเส้นมาส่วนหนึ่งจุ่มลงไปในน้ำซุปที่มีความข้นหนืดกว่าน้ำซุปของราเมงโดยทั่วไป เพื่อให้น้ำซุปนั้นติดกับตัวเส้นได้ดีกว่าโดยไม่ต้องซดน้ำ
ครั้งเเรกที่ได้ลองเมนูนี้ไม่ใช่ที่ญี่ปุ่นแต่เป็นที่ประเทศไทยของเราเองนี่แหละ ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนที่ไทยมีร้านสึเคเมงต้นตำรับจากนาโกย่า ชื่อ Fujiyama Go Go มาเปิดอยู่หลายสาขาก่อนจะค่อยๆ หายไปทีละสาขา ซึ่งเมนูนี้อร่อยเข้มข้นตราตรึงใจเรามามากกว่า 5 ปี พอได้เเพลนทริปญี่ปุ่นในครั้งนี้เลยคิดถึงเมนูนี้ขึ้นมาอีกครั้งและอยากจะลองรสชาติต้นตำรับดูสักที
เราเดินมาตามแมปเรื่อยๆ ร้านตั้งอยู่ข้างในสุดภายในชั้นแรกของตึก ร้านนี้ไม่ได้เป็นร้านราเมงที่ดังในหมู่นักท่องเที่ยวมากนัก (แต่เป็นอีกร้านที่เพื่อนแนะนำมากว่าอร่อย) วันที่ไปกินแทบจะมีแต่คนญี่ปุ่นทั้งร้าน ถึงเราจะไปถึงตั้งเเต่ 11 โมง ภายในร้านก็แออัดและเต็มทุกโต๊ะแล้ว แถมด้านหน้าร้านยังมีคิวที่มารอชิมความอร่อยเหมือนกันอีก 5-6 คิว แต่รอไม่นานก็ถึงคิวเรา
เมื่อได้คิวเข้ามาในร้านเราต้องเลือกเมนูผ่านตู้กดและจ่ายเงิน ก่อนเอามายื่นให้กับพนักงาน ที่นั่งในร้านจะมีเพียงเคาน์เตอร์ตัวใหญ่ตัวเดียวที่ล้อมรอบครัวไว้ ทำให้เราได้เพลิดเพลินกับวิธีการลวกเส้น ผสมน้ำซุป แต่งจานของพ่อครัวจนลืมความหิวไปได้ชั่วขณะ ไม่ถึง10 นาทีอาหารของเราก็มาเสิร์ฟถึงที่
แน่นอนว่ามาร้านนี้เมนูหนึ่งเดียวที่เราจะสั่งก็คือ สึเคเมงออริจินัล ใส่ทอปปิ้งทุกอย่าง นั่นคือหมูสามชั้นชาชูและไข่ต้มยางมะตูม โดยไม่ลืมที่จะเพิ่มเส้นด้วยเพื่อให้สมกับการรอค่อยมากว่า 5 ปีเพื่อเมนูนี้ เส้นของสึเคเมงจะมีความหนากว่าเส้นของราเมงทั่วไป ขนาดเส้นใหญ่เกือบจะเท่าเส้นอูด้ง แต่มีความแน่นและหนึบกว่าเส้นอูด้งอยู่มาก ที่ร้านลวกเส้นได้อย่างพอดี ไม่แข็งเกินไปแต่ก็ไม่เละ เหนียวหนุบหนึบเคี้ยวมัน เข้ากับน้ำซุปที่เข้มข้นหอมปลาคัตสึโอะแห้ง รสชาติเค็ม หวาน หอม มัน กำลังพอดี
เครื่องที่ใส่มาเข้ากับเมนูนี้เป็นอย่างมาก หมูสามชั้นที่ตุ๋นจนนุ่มและไม่แห้ง มันแทรกเป็นสามชั้นกำลังพอดี ไข่ต้มได้อย่างดีตามมาตรฐานของร้านราเมงญี่ปุ่นที่ไข่แดงเป็นยางมะตูมแบบเจลลี่ นอกจากนั้นยังมีหน่อไม้ที่ทำให้ได้รับรสสัมผัสอีกแบบ ทั้งความกรุบและมีกลิ่นหน่อไม้เข้ากับซุปเป็นอย่างดี อีกหนึ่งสิ่งที่เราคิดว่าทำให้เมนูนี้กินได้เรื่อยๆ คือ ต้นหอมญี่ปุ่น ที่มีความซ่าซึ่งช่วยในการตัดเลี่ยนได้ดีมาก หากเรากินไปเรื่อยๆ แล้วเส้นยังไม่หมด สามารถขอเพิ่มน้ำซุปได้โดยไม่เสียเงิน
หลังจากกินเสร็จด้วยความเร็วแสง เพราะคำเตือนของเพื่อนที่บอกว่าเรากินช้าไปแล้วเมื่อเทียบกับคนญี่ปุ่น ทำให้เราต้องรีบสวบเส้นที่เหลืออยู่อย่างรวดเร็ว (คิดว่าคงต้องไปฝึกซู้ดเส้นมาใหม่ครั้งหน้า) เมื่อท้องอิ่มก็มีแรงไปเที่ยวต่อ
เดินไปไม่ถึงกิโลจากร้านนี้มีสวนสาธารณะที่มีชื่อเสียงอยู่นั้นคือ Inokashira Park เป็นสวนสาธารณะในเมืองที่มีขนาดใหญ่และยังมีสวนสัตว์อยู่ข้างในด้วย เป้าหมายหลักของหลายๆ คนที่มาสวนนี้เพื่อชมวิวด้วยการปั่นเป็ด แต่ในเมื่อเรามากันสามคนเลยได้เป็นพายเรือแทน ถือว่าเป็นการออกกำลังกายอย่างดีหลังจากกินราเมงเพิ่มเส้นมา
เรื่องและภาพโดย จิณณพัต ทรัพย์ทวีวศิน
จบจากคณะรัฐศาสตร์ ชอบการทำอาหารและการกิน ปัจจุบันเปิดร้านอาหารอยู่แถวพระรามสอง
Contributor
Tags:
Recommended Articles
Recommended Videos