เปิด "ตำราอาหาร" ได้ที่นี่

 

food story

หาอยู่หากินตามวิถีมอแกลนทับตะวัน พังงา

Story by เสาวลักษณ์ เชื้อคำ

ไปชายเล เข้าป่า ขึ้นดอย ตามรอยของอร่อยแบบมอแกลน (ที่ไม่ใช่มอแกน)

เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ฉันมีโอกาสได้แวะไปใช้ช่วงสุดสัปดาห์ที่ชุมชนมอแกลนมาค่ะ

 

 

 

 

หลายคนอาจคุ้นหูกับคำว่า ‘มอแกน’ โดยเฉพาะทางหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา เพราะในหมู่เกาะสุรินทร์ หมู่บ้านมอแกนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมาก แต่เราหลายคนอาจนึกไม่ถึงว่า ในไทยเราไม่ได้มีชาติพันธุ์ชาวเลแค่มอแกนเพียงกลุ่มเดียว แต่ยังมีชาว ‘อุรักลาโวยจ’ และชาว ‘มอแกลน’ อยู่ด้วย

 

 

 

 

ฉันจึงขอถือโอกาสชวนทุกคนไปทำความรู้จักกับวิถีการหาอยู่หากินของคนมอแกลน ชาติพันธุ์ชาวเลผู้รุ่มรวยด้วยรอยยิ้มและข้าวปลาอาหารไปด้วยกันค่ะ

 

 

 

 

 

 

 

ไม่ใช่มอแกน แต่นี่คือ ‘มอแกลน’

 

 

 

 

เรามักมีภาพจำของชาติพันธุ์ชาวเลว่าเป็นกลุ่มคนที่มีการสร้างบ้านอยู่ริมทะเล ใช้ชีวิตอยู่บนเรือ และดำน้ำเก่งอย่างกับปลา แต่ลักษณะที่ว่ามานี้มักปรากฏอยู่ในชาวมอแกนซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งของชาวเลเท่านั้น ส่วนชาวมอแกลน แม้จะมีภาษาพูดที่คล้ายกันกับคนมอแกน แต่ชาวมอแกลนใช้ชีวิตอยู่ริมฝั่งมากกว่าอยู่ในทะเล ไม่ว่าจะเป็นชายหาด ป่าชายเลน หรือริมเลใกล้ๆ คนมอแกลนก็สามารถหาอยู่หากินสอดประสานไปกับทรัพยากรธรรมชาติริมฝั่งได้อย่างไร้เทียมทาน

 

 

 

 

นอกจากพื้นที่ริมฝั่งแล้ว คนมอแกลนยังมีพื้นแยกต่างหากสำหรับทำสวนสมรม (เกษตรผสมผสาน) และทำไร่หมุนเวียนด้วย พอฉันรายงานตัวว่าฉันเป็นคนเชียงใหม่ แม่ๆ ชาวมอแกลนที่มีบ้านอยู่บนไร่ยังพูดติดตลกกับฉันว่า ‘นี่ไง เราอยู่บนดอยเหมือนกันเลย!’ ฉันจึงได้ความรู้ใหม่ ณ ตอนนั้นว่าชาวมอแกลนแม้ได้ชื่อว่าเป็นชาวเล แต่ก็หาอยู่หากินทั้งริมเลและบนเขา แถมยังเป็นนักการเกษตรตัวยง คนมอแกลนจึงใช้ชีวิตแบบเข้าใจธรรมชาติมากๆ โดยไม่ต้องพึ่งตำราหรืองานวิจัยใดๆ มาช่วยเป็นคู่มือเพราะคนมอแกลนมีองค์ความรู้ที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคนแล้วละค่ะ

 

 

 

 

คนมอแกลนมีประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานอยู่บนแผ่นดินไทยมา 12 ชั่วอายุคนเป็นอย่างน้อย[1] คนมอแกลนมีเรื่องเล่าว่า เดิมที่ชุมชนมอแกลนอาศัยอยู่ที่ฝั่งทะเลด้านตะวันออก (แถบจังหวัดนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน) คนมอแกลนทำข้าวไร่และหาอยู่หากินตามริมเลไปตามอัตภาพ จนเมื่อเกิดความผันผวนทางการเมืองการปกครองขึ้น[2] คนมอแกลนได้รับผลกระทบทางการเมืองและถูกกดขี่อย่างหนัก จึงตัดสินใจอพยพออกสู่โพ้นทะเลอันดามัน และแยกกันขึ้นฝั่งมาตั้งรกรากใหม่หลายพื้นที่

 

 

 

 

ปัจจุบัน ชุมชนมอแกลนกระจายตัวอยู่ทั้งในจังหวัดพังงาและจังหวัดภูเก็ต แต่พี่น้องชาวมอแกลนทั้งสองจังหวัดยังยึดโยงกันไว้ด้วยประเพณีนอนหาด ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเดือน 3 ของทุกปี ชาวมอแกลนจะรวมตัวกันมาใช้ชีวิตริมทะเลที่หาดไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต นานกว่า 3 วัน 3 คืน เพื่อทำพิธีไหว้บรรพบุรุษ พบปะเครือญาติสายตระกูล ก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปใช้ชีวิต เพื่อจะมาพบกันใหม่อีกครั้งในปีต่อๆ ไป

 

 

 

 

ชาวมอแกน และชาวมอแกลน แม้จะเป็นญาติชาวเลผู้ใกล้ชิด กินอยู่กับทะเลเหมือนกัน แต่ต่างมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่งดงามและละเมียดละไม ฉันชอบการได้เห็นความแตกต่างหลากหลายในพื้นที่ริมเลเช่นนี้ และคิดว่าคงน่าเสียดายมากๆ หากเราจะมองข้ามตัวตนของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปเพราะเราไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกันมากพอ

 

 

 

 

เมื่อมีโอกาส ฉันจึงเก็บกระเป๋าล่องใต้ไปพังงา มาพักกายพักใจ (และหาของกินอร่อยๆ) ที่ชุมชนมอแกลนบ้านทับตะวันด้วยประการฉะนี้แหละค่ะ

 

 

 

 

 

 

 

 

ภาพจาก ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร – SAC

 

 

 

 

มอแกลนทับตะวัน

 

 

 

 

บ้านทับตะวัน เป็นชุมชนเล็กๆ ในอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ที่นี่เป็นอีกจุดหมายหนึ่งที่ชาวมอแกลนอพยพขึ้นมาตั้งรกรากใหม่หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากสงครามและความผันผวนทางการเมืองการปกครอง โดยยังปรากฏหลักฐานเป็นตำนานมุขปาฐะว่าด้วย ‘บ๊าบสามพัน’ หรือพ่อตาสามพัน บรรพชนชาวมอแกลนผู้บุกเบิกการตั้งรกรากใหม่ ณ ที่แห่งนี้

 

 

 

 

เรื่องเล่าของพ่อตาสามพันมีหลายสาแหรก หลายฉบับ ตามธรรมชาติของมุขปาฐะ แต่สิ่งที่เป็นรูปธรรมของการบุกเบิกถิ่นฐานใหม่คือศาลพ่อตาสามพัน​ (นากก)​ ที่หาดบางสัก ตำบลบางม่วง ซึ่งเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวมอแกลนทับตะวันทุกคนมานานกว่า 300 ปี

 

 

 

 

 

 

 

ปัจจุบัน ในพื้นที่บ้านทับตะวัน (ชื่อเดิม บ้านท่องทุ หรือบ้านในท่อง หมู่บ้านบางสักเหนือ) มีชาวมอแกลนอาศัยอยู่กว่า 500 ครัวเรือน[3] และยังมีการรักษาวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความเชื่อดั้งเดิมไว้เป็นอย่างดี ฉันชอบความเชื่อหนึ่งของชาวมอแกลนที่ว่า ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ หรือเป็นเพียงแค่ความคิด ชาวมอแกลนก็จะยืดมั่นในความถูกต้องเหมาะสมตามคำสอนของบรรพชนอยู่เสมอ เพราะ ‘ต่อให้ใครไม่รู้ แต่บรรพชนรู้’

 

 

 

 

ชุมชนมอแกลนทับตะวันไม่เพียงแต่รักษาวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ไว้ในกลุ่มตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ที่มีกระบวนการชุมชนแสนจะเข้มแข็ง มีครูภูมิปัญญาที่เป็นปูย่าตายาย มีวิทยากรชุมชนซึ่งนำโดย พี่หญิง – อรวรรณ หาญทะเล ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขมอแกลนขนานแท้ และ พี่เก๋ – วิทวัส เทพสง ผู้​ประสาน​งานเครือข่าย​ชนเผ่าพื้นเมือง​ภาคใต้ 

 

 

 

 

ที่สำคัญคือมีเด็กๆ เยาวชนมอแกลนรุ่นใหม่ที่เข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อนกิจกรรมชุมชนอยู่เสมอ ไล่เรียงมาตั้งแต่การเป็นนักร้องร็องเง็ง เป็นไกด์รุ่นเยาว์ ไปจนถึงการจัดทำแผนจัดการภัยพิบัติและการเป็นปากเป็นเสียงเรื่องสิทธิที่ดินของชุมชน

 

 

 

 

 

 

 

ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชุมชนมอแกลนทับตะวัน ทำให้ชุมชนนี้สามารถเชื่อมต่อกับหน่วยงานภาคเอกชน ภาคนโยบาย รวมถึงสื่อต่างๆ จนเกิดเป็นหน่วยงานเล็กๆ โดยชุมชนเพื่อชุมชน ไม่ว่าจะเป็น The Moklan Tour มอแกลนพาเที่ยว กลุ่มจัดการการท่องเที่ยวเพื่อการอนุรักษ์ และ ศูนย์วัฒนธรรมมอแกลนทับตะวัน ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญที่ผลักดันให้บ้านทับตะวัน-บนไร่ได้รับการประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ตามมติคณะรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา

 

 

 

 

‘ตาเหมือนนกออก น้ำเจ็ดศอกยังมองเห็น’
วิถีหาอยู่หากินอย่างชาวมอแกลน

 

 

 

 

คนมอแกลนมีคำกล่าวเปรียบถึงความสามารถในการหาอยู่หากินของตนว่า ‘ตาเหมือนนกออก น้ำเจ็ดศอกยังมองเห็น’ เพราะการหาอยู่หากินทั้งริมเลและบนเขาทำให้คนมอแกลนมีสายตาที่ละเอียดอ่อนกับธรรมชาติชนิดที่มนุษย์กรุงเทพฯ ผู้ใช้สายตาไปกับหน้าจออย่างเราอาจนึกไม่ถึง เช่นว่า ในบ่ายวันหนึ่งที่ฉันเดินตามพ่อๆ แม่ๆ ครูภูมิปัญญาชาวมอแกลนไปหาหอยหาปลาที่ริมหาด ตานุ้ย หนึ่งในครูภูมิปัญญาก็ชี้ให้ฉันดูว่า บนผืนทรายมีแร่อยู่เต็มไปหมด เมื่อได้เพ่งดูจนหัวแทบจะคะมำลงบนพื้น ฉันจึงเห็นว่ามีแร่เม็ดเล็กจิ๋วปะปนอยู่กับเม็ดทรายจริงๆ

 

 

 

 

สายตาของคนมอแกลนไม่เพียงแต่มองเห็นแร่ในผืนทรายเท่านั้น แต่ยังละเอียดและลึกซึ่งชนิดที่สามารถเห็น ‘ชั้น’ ของผืนทรายที่ถูกซัดเข้าฝั่งในเวลาน้ำขึ้นน้ำลงที่ต่างกัน และเข้าใจว่าเวิ้งไหนคือทรายที่ถูกซัดเข้ามาก่อน-หลัง และต้องมองอย่างไรจึงจะเลือกทำเลในการหาแร่ได้มากพอจะตักไปร่อนได้

 

 

 

 

 

 

 

ตานุ้ย ครูภูมิปัญญาผู้สอนให้ฉันมองแร่ หว่านแห และวางอวน

 

 

 

 

นอกจากร่อนแร่แล้ว ตานุ้ยยังนำทีมพาพวกเราเดินลัดน้ำเข้าไปวางอวนและหว่านแห ทุกก้าวและทุกการตัดสินใจของตานุ้ยคือความเชื่อมั่นในสัญชาติญาณ ผืนทราย และทะเล ตานุ้ยรู้ถึงว่าน้ำกำลังจะขึ้นหรือลงในจังหวะไหน แถมยังรู้ด้วยว่ามนุษย์ในเมืองอย่างเราอาจจจะเดินตามไปไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง สุดท้ายเราจึงจบที่การยืนมองตานุ้ยจากที่ไกลๆ แล้วรอกินปลาจากตานุ้ยแทน

 

 

 

 

 

 

 

ครูภูมิปัญญาอีกคนที่พิสูจน์ว่าสายตาของคนมอแกลนนั้นเฉียบคมไม่ต่างกับตานกออก ก็คือ ยายลาภ ครูภูมิปัญญาดาวเด่นประจำชุมชนค่ะ

 

 

 

 

 

 

 

สำหรับฉัน ยายลาภคือ ‘เซเลบริตี้’ แห่งทับตะวันขนานแท้ เพราะยายลาภแต่งตัวสวย ยิ้มหวาน พูดเก่ง และมีความรักให้ทุกคน ที่สำคัญคือหาอยู่หากินได้คล่องแคล่วแบบที่ว่าถ้าอยู่กับยายลาภ รับประกันได้เลยว่าไม่มีใครอดอยาก บ่ายวันเดียวกันนั้น ยายลาภเดินนำเราลัดเลาะริมหาดเข้าสู่ ‘ขุมเขียว’ ป่าชายเลนซึ่งทั้งจุดจอดเรือและแหล่งอาหารสำคัญของชุมชน ยายลาภมาพร้อมกับถุงใส่หอย และถาดคู่ใจซึ่งเป็นได้ทั้งอุปกรณ์ร่อนแร่และใส่ผักไม้ที่หาได้ริมทาง 

 

 

 

 

 

 

 

ยายลาภกับการเดินเท้าเปล่าในชุมเขียว

 

 

 

 

ยายลาภและแม่ๆ ชี้ชวนให้เราดูหอยตั้งแต่หน้าหาด ทั้งที่มุดอยู่ในทราย และมุดอยู่ในเลน ทั้งหอยกัน หอยทายเภา (หอยแครงม่วง) หอยแครงทราย หอยจุ๊บแจง ซึ่งแน่นอนว่าเรามองเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง เพราะส่วนใหญ่แล้วหอยจะมีส่วนที่โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นแค่นิดเดียว นิดชนิดที่โผล่มาแค่ปลายก้อย แถมสีก็ยังกลืนๆ ไปกับพื้นทรายพื้นเลนเสียเป็นส่วนใหญ่ ย่ามใส่หอยของเราว่างเปล่าและเบาโหวง ในขณะที่แม่ๆ มองเห็นหอยแทบจะตลอดเวลาราวกับว่ามันถูกไฮไลต์ด้วยสีสะท้อนแสง

 

 

 

 

 

 

 

สุดท้ายเย็นวันนั้นเราก็ได้กินทั้งหอยและปลาแบบเต็มพิกัดราวกับบุฟเฟ่ต์ริมเล โดยฝีมือของตานุ้ย ยายลาภ พ่อๆ แม่ๆ ครูภูมิปัญญาทุกคน ปลากระบอกตัวเล็ก เสียบไม้ย่างจนสุกพอดี เนื้อละเอียด นุ่ม และฉ่ำหวาน ส่วนหอยก็ล้างให้สะอาดแล้วโยนขึ้นบนแผ่นสังกะสีย่างไฟจนเปลือกอ้า

 

 

 

 

 

 

 

กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดที่พี่หญิงตำใส่กระปุกมาจากบ้าน ตบท้ายด้วยน้ำมะพร้าวที่เฉาะกันสดๆ ริมหาด เป็นมื้อที่อร่อยแบบกินแล้วความสุขมันท้วมท้น (แม้ฉันจะหาหอยเจอเองแค่ 2 ตัวก็ตาม)

 

 

 

 

 

 

 

แม้กระทั่งปากทางที่เราผ่านเข้าไปขุมเขียว แม่ๆ ชาวมอแกลนก็ยังชี้ชวนให้เห็นอาหารอีกหลายอย่าง ทั้งเห็ดสนที่ไม่ใช่เห็ดมัตสึทาเกะ แต่เป็นพืชชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมหาดบริเวณที่มีต้นสน พี่หญิงเล่าว่า เห็ดชนิดนี้จะขึ้นอยู่เฉพาะบริเวณที่มีเชื้อเดิมเท่านั้น โดยตัวมันเองแล้วไม่มีรสชาติอะไรเป็นพิเศษ แต่โดดเด่นที่รสสัมผัสกรึบเด้งใกล้เคียงกับเห็ดหูหนู คนมอแกลนใช้ทำอาหารได้หลายเมนูไม่ว่าจะเป็นแกงจืดหรือผัดใส่ไข่ 

 

 

 

 

 

 

 

หันตัวจากเห็ดสนมา 180 องศา เราก็เจอกับต้นท้าวยายม่อมที่กำลังติดดอก ยอดอ่อนและดอกนำมาต้มจิ้มน้ำพริกได้ ส่วนหัวเราก็นำมาแปรรูปเป็นแป้งท้าวยายม่อม แป้งคู่ครัวขนมไทยที่ให้ความหนึบและใส วัตถุดิบสำคัญสำหรับทำขนมชั้น ขนมน้ำดอกไม้ และขนมไทยอีกหลายอย่าง

 

 

 

 

 

 

 

ระหว่างทางทั้งขาไปและขากลับ แม่ๆ ชาวมอแกลนได้เก็บผักไม้ริมทางติดมือมาอีกหลายอย่าง เฉพาะที่ขุมเขียวนี้มีพืชสมุนไพรที่ใช้ทำอาหารและใช้เป็นยาได้นับร้อยชนิด มีหอย ปู ปลา อีกนับไม่ถ้วน ขึ้นอยู่กับว่าสายตาของใครจะมองเห็นหรือไม่ก็เท่านั้น

 

 

 

 

พี่หญิง ลูกหลานมอแกลนที่เป็นหญิงแกร่งแห่งชุมชนก็เป็นอีกคนที่สายตาเหมือนนกออก น้ำเจ็ดศอกยังมองเห็น เพราะบ่ายอีกวันหนึ่งที่เราเดินสำรวจหาดกันอยู่ พี่หญิงก็เดินดุ่มลงไปในทะเลเสียเฉยๆ ก้มๆ เงยๆ อยู่ครู่เดียวพี่หญิงก็ชูมืออวดสายใบ หรือสาหร่ายใบ พืชน้ำที่หน้าตาขยุกขยุยมากำใหญ่ อึดใจเดียวพี่หญิงหอบสายใบขึ้นมาได้เต็มย่าม ไว้เป็นเสบียงสำหรับเย็นวันนี้

 

 

 

 

 

 

 

เลยจากโขดหินที่พี่หญิงเดินลงไปหาสายใบ แม่ๆ และน้องๆ ชาวมอแกลนก็กำลังสนุกกับการหาหอยติบอยู่เช่นกัน หอยติบหรือหอยกระติ๊บเป็นหอยคล้ายหอยนางรมตัวเล็กๆ ที่เกาะอยู่ตามโขดหิน มองผ่านๆ หน้าตาเหมือนหินตะปุ่มตะป่ำไม่มีผิด แต่ถ้าใช้เครื่องมือเฉพาะอย่าง ‘หล่าโต๊ะ’ เจาะตัวหอยออกมาก็จะได้เนื้อหอยที่มีรสกร่อยแต่หวานมัน ชาวบ้านจึงเรียกหอยติบว่า ‘หอยเจาะ’ ด้วยอีกชื่อหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

พี่หญิงเป็นนักวางแผนการกินตัวยงจึงพก ‘น้ำพริกแดง’ น้ำพริกสูตรเด็ด เผ็ด เค็ม เปรี้ยว แบบชาวมอแกลนมาด้วย เราจึงได้กินมื้อริมเลสดๆ ซึ่งประกอบด้วยหอยติบ น้ำพริกแดง และสายใบลวก ความสดและประสบการณ์การหาวัตถุดิบด้วยตัวเองทำให้โอมากาเสะริมเลคำนี้อร่อยถูกใจฉันมาก แม้ว่ามันแทบจะไม่ผ่านการปรุงอะไรมาเลยก็ตาม

 

 

 

 

 

 

 

เดินริมเลจนสมใจอยากแล้ว จะไม่เดินขึ้นเขาบ้างก็คงไม่ครบสูตร พี่เก๋ พี่หญิง และแม่ๆ ครูภูมิปัญญาชาวมอแกลนเลยจัด Day Trip พาเรามาที่บ้านบนไร่ด้วย บ้านบนไร่นี้เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและพื้นที่เกษตรกรรมที่ชาวมอแกลนใช้ทำสวนสมรมหรือสวนผสมผสาน มีทั้งผัก ผลไม้ แถมในอดีตยังเป็นพื้นที่ทำข้าวไร่ ทำไร่หมุนเวียนอีกด้วย

 

 

 

 

 

 

 

พี่เก๋และพี่หญิงพาเดินชมไร่

 

 

 

 

ที่ต้องใช้คำว่า ‘ในอดีต’ ก็เพราะว่าปัจจุบันนี้คนมอแกลนทับตะวัน-บนไร่ ไม่ได้ปลูกข้าวกินเองแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะข้าวไร่ให้ผลผลิตน้อยเมื่อเทียบกับการทำนาข้าวทั่วไป และสาเหตุสำคัญก็คือ ชุมชนไม่มี ‘หมอ’ หรือผู้ประกอบพิธีกรรมก่อนทำข้าวไร่ตามความเชื่อดั้งเดิม

 

 

 

 

หมอพิธีคือคนสำคัญที่จะสื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติเพื่อ ‘ขอ’ ทำไร่ข้าว ชาวมอแกลนเชื่อว่ามนุษย์ไม่ใช่เจ้าของผืนดิน ผืนฟ้า และผืนน้ำ เมื่อจะทำไร่ข้าวตามฤดูกาล การทำพิธีเพื่อขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียก่อนจึงเป็นขั้นตอนที่จะมองข้ามไม่ได้

 

 

 

 

หลังจากหมอพิธีคนล่าสุดจากไป ชุมชนมอแกลนทับตะวัน-บนไร่ ก็ไม่มีใครที่สามารถสืบทอดพิธีกรรมนี้ได้อีก คนมอแกลนมีความเชื่อที่หนักแน่นมาก คนทั้งชุมชนจึงไม่มีใครปลูกข้าวไร่ได้อีกเลยนับแต่นั้นเป็นต้นมา ปัจจุบันนี้จึงเหลือเพียงแต่ชื่อชุมชนว่า ‘บนไร่’ ไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานได้ทำความเข้าใจกับรากเหง้าของตน

 

 

 

 

โชคยังดีที่การปลูกผักผลไม้อื่นๆ ไม่ได้ยึดโยงกับพิธีกรรมและความเชื่อเดิมมากนัก บนไร่ในวันนี้จึงเต็มไปด้วยส้มสุกลูกไม้และพืชสมุนไพรหมุนเวียนให้เก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปี 

 

 

 

 

 

 

 

ผลผลิตที่ถูกตาต้องใจพวกเรามากที่สุด แถมยังอยู่ในฤดูเก็บเกี่ยวแบบพอดิบพอดี ก็คือจำปาดะ และทุเรียนบ้าน ที่ไม่ว่าเดินผ่านบ้านไหนๆ ก็ต้องเห็นปลูกไว้อย่างน้อยสักต้น ทุเรียนบ้านที่บนไร่บางต้นสูงชะลูดราวสิบเมตรเพราะอายุหลายสิบปี จะได้กินก็ต่อเมื่อลูกทุเรียนสุกจัดจนร่วงลงมาเองเท่านั้น แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนไร่คงเอ็นดูเรามาก ขณะที่เราคุยกันอยู่จึงมีเสียง ‘ตุ๊บ’ อันหนักแน่นเป็นสัญญาณว่าวันนี้เราโชคดีได้มีทุเรียนบ้านกินแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

ทุเรียนบ้านที่ว่านี้คือทุเรียนสายพันธุ์พื้นเมืองที่ยังไม่ผ่านการปรับปรุงพันธุกรรม แต่ละต้นจึงมีลักษณะไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่มักจะลูกไม่โตมาก พูเล็กแต่เม็ดใหญ่ มีเนื้อให้กินน้อย แต่พิเศษที่กลิ่นหอมนวลและรสหวานละมุนละไมที่ทุเรียนพันธุ์ตามสวนต่างๆ ให้ไม่ได้ ทุเรียนบ้านที่เราได้กินวันนี้เนื้อน้อยตามฉบับ แต่เนื้อนุ่มนิ่มอย่างกับคัสตาร์ดดีๆ กลิ่นไม่ฉุน และที่สำคัญคือเมื่อกินแล้วจะรู้สึกว่าไม่ได้มีฤทธิ์ร้อนเท่ากับทุเรียนพันธุ์ลูกใหญ่ๆ ที่เราคุ้นเคย

 

 

 

 

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งจากการเดินเล่นสวนสมรมบนไร่ในวันนั้น ก็คือการได้ชิมยาปรุงตำรับมอแกลนที่ประกอบด้วยพืชสมุนไพรสดเกือบสิบชนิดต้มรวมกันแบบ full spectrum ตั้งแต่ยอดไปจนถึงราก ได้เป็นยาต้มสีเขียวใสรสขมสะใจ 

 

 

 

 

 

 

 

พี่หญิงบอกว่ายาหม้อนี้เป็นยาแก้หวัดแก้ไข้ และคนในชุมชนก็เชื่อว่าที่ชาวมอแกลนอยู่รอดปลอดภัยมาจากโควิดได้ก็เพราะยาดีขนานนี้ ส่วนรสขมที่ทำเอาหลายคนหน้าเบ้นั้นมาจากไมยราบซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ เพราะไมยราบมีสรรพคุณในการแก้ไข้ ลดอาการไอ แก้อาการอ่อนเพลียและช่วยรักษาสมดุลของร่างกายได้ ฉันเกิดมาจน 30 ปี เพิ่งจะเคยลิ้มรสขมของไมยราบเป็นครั้งแรกก็ในทริปนี้เองค่ะ

 

 

 

 

สุดสัปดาห์ที่ฉันได้ลองหาอยู่หากินอย่างคนมอแกลน ทำให้ฉันเข้าใจคำเปรียบที่ว่าสายตาของชาวมอแกลนที่มองเห็นทะลุไปถึงผืนทรายใต้น้ำเจ็ดศอกได้ชัดเจนขึ้นว่า สายตาเช่นนี้ไม่ใช่สายตาที่มองเห็นได้ชัดเจนกว่าใครในเชิงกายภาพ ไม่ใช่่สายตาที่มองเห็นกำไรมหาศาลจากทรัพยากรธรรมชาติ แต่เป็นสายตาที่มองเห็นชีวิต เห็นอาหาร และเห็นคุณค่าของผืนดินผืนน้ำในทุกตารางนิ้ว ว่าธรรมชาติที่สมบูรณ์รอบตัวคือความยั่งยืนทางอาหารที่จะส่งต่อไปเป็นสมบัติให้ลูกหลานต่อไปในอนาคต – ซึ่งเป็นสายตาที่เราหาเจอได้น้อยลงทุกวันแล้วใน พ.ศ. นี้

 

 

 

 

อาหารจานเด็ดตำรับมอแกลนทับตะวัน

 

 

 

 

ตลอดทั้งทริป 3 วัน 2 คืนที่บ้านทับตะวัน สิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจระดับ 10 เต็ม 10 และวางแผนว่าจะต้องกลับไปอีกให้ได้ ก็คืออาหารจานเด็ดที่พี่หญิง พี่เก๋ และชาวบ้านทับตะวันจัดสรรมาให้กินในแต่ละมื้อ แต่ครั้นจะให้รีวิวเหมือนไปร้านอาหารก็คงยาก เพราะอาหารที่นี่ก็คืออาหารแบบเดียวกันกับที่ชาวบ้านกิน ดังนั้นมันจึงหมุนเวียนไปตามวาระและฤดูกาล เอาเป็นว่านี่คือ Food Diary จากบ้านทับตะวันที่ฉันอยากอวด และใช้เป็นหลักฐานมาชวนทุกคนเก็บกระเป๋าไปนอนพักกายพักใจที่บ้านมอแกลนบ้างแล้วกันนะคะ

 

 

 

 

 

 

 

อาหารจัดเต็มมื้อแรก แกงส้มตำรับมอแกลน ปลาทูไทยทอดกรอบทั้งตัว น้ำพริกระกำ และเห็ดสนผัดไข่

 

 

 

 

 

 

 

นี่คือโฉมหน้าของเห็ดสนที่ผ่านการล้างและปรุงมาแล้ว ผัดมารสเค็มอ่อน เนื้อสัมผัสกรอบกรึบแต่ไม่เด้งขนาดเห็ดหูหนูหรือเห็ดอื่นๆ เด็กกินได้ผู้ใหญ่กินดี กินตัดเผ็ดจากแกงส้มและน้ำพริกได้เหมาะเลยค่ะ

 

 

 

 

 

 

 

แกงเลียงผักหวานทะเลใส่หอยกัน รสชาติใสๆ เช็งๆ อูมามิจากกะปิและหอย หวานจากหอมแดงและผักหวาน กินแล้วรู้สึกสุขภาพดีสุดๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

แกงเห็ดเผาะทะเลใส่สับปะรด พี่หญิงเล่าว่าเห็ดเผาะที่นี่ขึ้นตามชายฝั่ง ไม่ได้ขึ้นอยู่บนเขา เห็ดเผาะที่ใช้เป็นเห็ดแก่จนเนื้อข้างในเป็นผง แต่ยังไม่แก่จนบาน กินแล้วให้กลิ่นแบบ earthy เพิ่มความสดชื่นด้วยเปรี้ยวหวานของสับปะรด

 

 

 

 

 

 

 

 

ปลาวง ทำจากปลาจ้องม่องหรือปลากระบางที่หน้าตาคล้ายกับปลากระเบนแต่ตัวเล็กกว่า แล่ให้เป็นวงแล้วทอดจนกรอบทั้งตัว กินกับน้ำพริกแดงเผ็ดๆ กับผักสด โดยเฉพาะสะตอกับลูกเนียง เข้ากันมาก

 

 

 

 

 

 

 

ต้มส้มปลาทูไทย น้ำใสแต่นัวและสดชื่นด้วยรสเปรี้ยวจากส้มแขก ปลาทูไทยตัวไม่ใหญ่มาก แต่เนื้อแน่น หวาน ละเอียด เมนูนี้พี่เก๋ภูมิใจนำเสนอสุดๆ เพราะเป็นปลาทูไทยสดจากประมงเรือเล็ก ไม่ใช่ปลาทูอินโดแช่แข็งจากตลาด

 

 

 

 

 

 

 

น้ำพริกแดง น้ำพริกประจำบ้านของสำรับมอแกลน

 

 

 

 

 

 

 

หมึกกล้วยน้ำดำ หมึกสด หวาน

 

 

 

 

 

 

 

ผักรวมต้มกะทิ จานนี้มีทั้งผักเหลียง หน่อไม้ ผักหวานป่า และสะตอ รสหวานมันจากกะทิ ไว้กินดับเผ็ดจากน้ำพริกแดง

 

 

 

 

 

 

 

มื้อเย็นวันสุดท้ายก่อนปิดทริป โชคดีที่ทางชุมชนได้ปูม้า ปูดำ และปลาหางแข็งมาด้วย เลยกลายเป็นมื้อส่งท้ายที่ทำให้ฉันคิดถึงทับตะวันสุดๆ 

 

 

 

 

 

 

 

ยำสายใบที่พี่หญิงเก็บมา นำสายไปใบลวก คลุกกับเครื่องยำซึ่งมีหอมแดงซอย มะม่วงซอย มะพร้าวคั่ว และถั่วลิสงคั่ว ปรุงรสด้วยพริกป่น มะนาว น้ำปลา ได้เป็นยำสายใบครบรสครบสัมผัส มีทั้งความกรอบจากสายใบ ความเปรี้ยวจากมะม่วงมะนาว และความั่นจากถั่วและมะพร้าว รสชาติชวนให้นึกถึงยำสายเกาะยอเลยค่ะจานนี้

 

 

 

 

 

 

 

ต้มส้มหยวก หยวกอ่อนมาก สัมผัสนุ่มนวลสุดๆ เพิ่มรสเปรี้ยวหวานสดชื่นจากสับปะรด จานนี้หน้าตาไม่หวือหวาแต่พร่องไวที่สุดในสำรับมื้อนั้น

 

 

 

 

 

 

 

ห่อหมกหอยกัน หมกมาในเปลือก รสชาติไม่จัดมากแต่ยังหอมกลิ่นพริกแกงและสมุนไพร โปะหน้ามาด้วยเนื้อปูชิ้นเล็กๆ เป็นอีกเมนูคุ้นเคยที่ทางชุมชนทำออกมาได้สวยเก๋แบบที่ขึ้นโต๊ะร้านอาหารดังๆ ในกรุงเทพฯ ได้สบาย

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนอันนี้ปูนึ่งธรรมดาๆ แต่ว่าถูกใจคนรักปูอย่างฉันเพราะเป็นปูสดๆ ที่จับมาได้ก็ลงหม้อเลยแทบจะเดี๋ยวนั้น ทั้งปูม้าและปูดำจึงสดหวานสะใจกินได้แบบไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้ม เนื้อปูสดๆ ยังฉ่ำและเป็นลิ่ม จะกินปูทั้งทีก็ต้องกินปูที่สดขนาดนี้เท่านั้นถึงจะถูกต้อง

 

 

 

 

 

 

 

อาหารที่ทับตะวันทำให้ฉันกินเยอะกว่าปกติทุกมื้อ แต่ด้วยความที่วัตถุดิบในจานเต็มไปด้วยผัก สมุนไพร และอาหารทะเลสดๆ เลยไม่มีอาการแน่นท้องหรือกรดไหลย้อน (ซึ่งเป็นโรคเจ้ากรรมประจำตัวนักกิน) เลยแม้แต่น้อย ฉันจึงตกตะกอนได้อีกอย่างว่าการได้รู้จักกับแหล่งอาหารของตัวเอง ได้กินอาหารที่สดมากๆ และปรุงแต่งมาน้อยมากๆ คงจะมีส่วนที่ทำให้สุขภาพกายใจของคนมอแกลนแช่มชื่นและแข็งแรงกันอย่างที่เห็น ความอร่อยเป็นเรื่องส่วนตัวฉันจึงไม่อยากอรรถาธิบายให้เยิ่นเย้อ แต่เรื่องคุณภาพและความหลากหลาย รับประกันด้วยเกียรติของคนที่ถือเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ว่าไม่ผิดหวังค่ะ

 

 

 

 

ชีวิตหลังสึนามิ
ผืนแผ่นดินมอแกลน ผืนแผ่นดินของใคร?

 

 

 

 

ชุมชนมอแกลนทับตะวันเป็นชุมชนที่เข้มแข็งทั้งในด้านจิตวิญญาณและในแง่ของการทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ส่วนหนึ่งก็กลับเกิดขึ้นเพราะชาวมอแกลนต้องสู่เพื่อสิทธิบนผืนแผ่นดินของตัวเองค่ะ

 

 

 

 

หากยังพอจำได้ พื้นที่อำเภอตะกั่วป่าเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิในปี พ.ศ.2547 อย่างรุนแรง ผู้คนบาดเจ็บและเสียชีวิตนับไม่ถ้วน แต่ชุมชนมอแกลนทับตะวันกลับมีผู้เสียชีวิตเพียง 2 คนเท่านั้น เพราะคนมอแกลนมีตำนานว่าด้วยคลื่นยักษ์ 7 ชั้นที่เล่าต่อกันมารุ่นสู่รุ่นนับตั้งแต่บรรพชน

 

 

 

 

ตำนานคลื่นยักษ์ 7 ชั้น เล่าว่า หากน้ำทะเลแห้งลง สัตว์ทะเลตัวใหญ่จะเกยตื้นเต็มหาด สัตว์บกจะหนีขึ้นที่สูง ให้ลูกหลานทุกคนจงวิ่งตามสัตว์เหล่านั้นไปทันที อย่าลงไปเก็บปูปลาที่อยู่บนหาดเด็ดขาด เพราะคลื่นยักษ์ 7 ชั้นกำลังจะมา ลูกหลานมอแกลนทับตะวันที่เคยได้ฟังตำนานนี้จึงอยู่รอดปลอดภัยกันเกือบทั้งหมด ทว่าสิ่งที่หายไปพร้อมๆ กับคลื่นยักษ์ในวันนั้นก็คือสิทธิในการอยู่อาศัยบนที่ดินกว่า 5 ไร่

 

 

 

 

1 วันหลังจากเหตุการณ์สึนามิ เมื่อชาวมอแกลนทับตะวันกลับบ้านมาเพื่อจัดการกับซากปรักหังพัง ก็ต้องพบกับเรื่องประหลาดที่ว่ามีคนจากพื้นที่อื่นเข้ามาอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของบนผืนดินที่ชุมชนอาศัยอยู่มาหลายต่อหลายรุ่น จึงเป็นชนวนเหตุของการถูกกดดัน ข่มขู่ และต่อสู้จนถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาลเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา (ซึ่งมีข้อมูลบันทึกไว้บนโลกอินเทอร์เน็ตมากมายและฉันคิดว่าฉันคงไม่แม่นยำมากพอที่จะหยิบยกเรื่องนี้มาเล่าจนจบได้ในบทความเดียว หากใครสนใจเรื่องนี้ลองหาข่าวอ่านดูตามวิจารณญาณของตัวเองกันได้ค่ะ)

 

 

 

 

คนมอแกลนอยู่บนผืนแผ่นดินไทยมานานก่อนการกำหนดเขตรัฐชาติ แต่กลับมีเพียง 1% เท่านั้นที่มีกรรมสิทธิ์ครอบครองที่อยู่อาศัยตามระบบ กว่า 95% ต้องเจอกับปัญหาถูกภาครัฐประกาศพื้นที่ทับซ้อนที่หาอยู่หากิน และอีก 4% กำลังต่อสู้กับการถูกเอกชนอ้างสิทธิ์ครอบครองพื้นที่[1] อย่างเช่นที่คนมอแกลนทับตะวันต้องเผชิญอยู่

 

 

 

 

จนถึงปัจจุบันนี้ที่บางส่วนถูกประกาศให้เป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเป็นทางการแล้ว ชาวมอแกลนทับตะวันก็ยังคงต้องต่อสู้เพื่อยืนยันสิทธิบนพื้นที่หาอยู่หากินรวมถึงพื้นที่ทางจิตวิญญาณอยู่เหมือนเคย ทั้งพื้นที่ที่ยายลาภพาเราเข้าไปหาหอย หรือกระทั่งพื้นที่สุสานซึ่งเป็นรังนอนสุดท้ายของบรรพชนมอแกลนผู้ล่วงลับ ก็ยังถูกแผ้วถางและกลายเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมเอกชนหลายแห่งไปเสียอย่างนั้น

 

 

 

 

พี่หญิงเล่าว่า ในอดีต ชาวมอแกลนจะกลัวคนนอกกลุ่มมากเพราะฝังใจจากการถูกเบียดบังมาเสมอ โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไม่พูดภาษาไทยกลางหรือแม้กระทั่งภาษาใต้ (ขนาดยายลาภเซเลบฯ มอแกลนของเราที่ว่าพูดเก่งกว่าใครเพื่อน ยังเพิ่งมาฝึกพูดภาษาไทยเมื่อหลังสึนามินี่เอง!) คนมอแกลนรักสงบและรักสันโดษ ไม่ต้องการมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใคร การต่อสู้ที่ผ่านมาจึงมักลงเอยด้วยการไกล่เกลียรอมชอมกัน แม้จะต้องเสียผืนดินบางส่วนไปอย่างไม่สมเหตุสมผล แต่ปัจจุบันที่การพัฒนาเมืองและเศรษฐกิจเบียดเบียนไปจนถึงพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะพื้นที่ผืนสุดท้ายอย่างสุสานชุมชน ลูกหลานชาวมอแกลนจึงต้องลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องจิตวิญญาณของบรรพชนเอาไว้ให้ถึงที่สุด

 

 

 

 

“จะแพ้หรือชนะไม่รู้ แต่พี่ถือว่า ตราบใดที่พี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะมาเอาผืนดินของเราไปง่ายๆ ไม่ได้อีกแล้ว” – พี่หญิงพูดกับเราไว้อย่างนั้น

 

 

 

 

ฉันได้แต่หวังว่า วันหนึ่งเราจะกลัวกันน้อยลง และรู้จักกันมากขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อมองเห็นกันและกัน และสามารถอยู่บนผืนดินผืนน้ำเดียวกันได้ โดยไม่มีใครต้องสูญเสียพื้นที่หาอยู่หากินของบรรพบุรุษไปเหมือนประวัติศาสตร์อันน่าเจ็บช้ำของชาวมอแกลนอีก

 

 

 

 

แค่คิดเล่นๆ ว่าถ้าวันหนึ่งยายลาภไม่สามารถเข้าไปหาหอยกันที่เดิมได้อีก ขุมเขียวก็คงเงียบเหงาน่าดูเลยค่ะ

 

 

 

 

 

 

 

[1] ข้อมูลจาก แผ่นพับ “ชนเผ่ามอแกลน” ชาวเลแห่งอันดามัน โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศโทย จัดทำโดย มูลนิธิชนเผ่าพื้นเมืองเพื่อการศึกษาและสิ่งแวดล้อม (ม.ก.ส.) เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองภาคใต้ และคณะ
[2] ข้อมูลจาก บทความ “บ๊าบสามพัน” บรรพชนมอแกลน โดย สุประดิษฐ์  สงณรินทร์, วิทวัส เทพสง และ ฐิติพันธ์ พัฒนมงคล เผยแพร่โดย เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง (Indigenous Media Network: IMN) ณ วันที่ 16 มีนาคม 2025 
[3] ข้อมูลจาก บ้านทับตะวัน วิกิชุมชน (Wikicommunity) โดย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

 

 

 

 

ขอขอบคุณ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), Hear and Found และ ศูนย์วัฒนธรรมมอแกลนทับตะวัน

 

 

 

 

สนในทัวร์มอแกลนสนุกๆ อร่อยๆ แบบนี้ ติดต่อได้ที่ The Moklan Tour มอแกลนพาเที่ยว ได้เลยค่ะ

Share this content

Contributor

Tags:

อาหารชาติพันธุ์

Recommended Articles

Food Storyลิ้มรสอาหารเชียงตุงประจำห้วยขวาง ที่ “ร้านใบบัว”
ลิ้มรสอาหารเชียงตุงประจำห้วยขวาง ที่ “ร้านใบบัว”

ชวนมาเปิดโลกอาหารเชียงตุง กินอาหารเหนือลำๆ ที่ซอยประชาราษฎร์บำเพ็ญ 9

 

Recommended Videos