เปิด "ตำราอาหาร" ได้ที่นี่

 

food story

ขอเชิญลิ้มรส ‘เพลงเนื้อย่าง’ กับ โอมากาเสะเนื้อ 14 จาน!

Story by บิ๊มกินแหลกล้างโลก

ตามบิ๊มกินแหลกล้างโลกไปกินโอมากาเสะเนื้อย่างกันถึงญี่ปุ่น ความอร่อยที่สายเนื้อต้องห้ามพลาด

หนึ่งในโอมากาเสะที่คนไทยกำลังฮิตไปกินที่ญี่ปุ่นก็คือ โอมากาเสะเนื้อย่าง ซึ่งปัจจุบันมีหลายเจ้าที่โตเกียว ร้านที่เราไปลองแล้วประทับใจ จนอยากแนะนำต่อ ชื่อว่า SUMIBIYAKINIKU NAKAHARA

 

A slight change in knife angle, or a mere 0.2mm difference in thickness can completely transform the beef’s texture and taste. This is why we carefully cut our meat by hand.

 

การหั่นเนื้อในมุมที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย หรือ ความหนาของเนื้อที่ต่างกันเพียง 0.2 มิลลิเมตร มีผลอย่างมากมายต่อเนื้อสัมผัสและรสชาติของเนื้อ นี่คือเหตุผลที่เราเลือกตัดเนื้อด้วยมือเท่านั้น

 

 

แค่คำโปรยในเว็บของร้านก็ซื้อใจให้เราโทรจองร้านอาหารแทบไม่ทันแล้ว อยากจะไปลิ้มลองเนื้อที่ถูกทำอย่างใส่ใจสักครั้ง SUMIBIYAKINIKU NAKAHARA แปลภาษาไทยคือ ปิ้งย่างถ่าน นากาฮาระ ความหมายเดาไม่ยาก ก็มาจากการที่คุณนากาฮาระ เจ้าของร้าน จะเอาเนื้อชั้นเลิศไปย่างบนเตาถ่านเพื่อให้ลูกค้าทุกคนได้กินน่ะสิ! แถมเขาโฆษณาว่าถ่านของเขาน่ะเป็นถ่านไม้อย่างดีนะ เวลาเผาไหม้มันจะไม่เกิดฝุ่นละอองแบบถ่านทั่วไป ดังนั้นเนื้อย่างที่ได้จะไม่มีเศษถ่านติดเลย แถมกลิ่นก็จะหอมด้วย ส่วนใหญ่เป็นเมนูเนื้อย่างแบบดั้งเดิม มีเมนูฟิวชั่นผสมค่อนข้างน้อย

 

 

คอร์สเนื้อย่างของเราเริ่มจากจานแรกคือซุปมันฝรั่งข้นผสมกับเยลลี่คอนโซเม่เย็นและโรยเนื้อแห้งด้านบนนิดนึง รสชาติสไตล์ซุปฝรั่ง ซึ่งพอกินเข้าไปคือตกใจในกลิ่นหอมของเนื้อมาก เพราะเห็นโรยเนื้อมานิดเดียว แต่ผลคือกลิ่นหอมเนื้อฟุ้งไปทั้งปาก ถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์เนื้อๆอย่างสวยงาม

 

 

จานที่สองคือยุกเกะ ซึ่งคือเนื้อดิบหั่นเป็นเส้นราดซอสและไข่แดงดิบ เวลากินให้คนรวมกันแล้วโซ้ยเข้าปากเลย นิยมเสิร์ฟเมนูนี้ในร้านปิ้งย่างเกาหลี ซึ่งหากินอร่อยยากเพราะเนื้อดิบจะมีกลิ่นคาวเลือด ส่วนไข่ดิบถ้าไม่สดก็จบกัน แต่ยุกเกะที่ร้านนากาฮาระคืออร่อยมาก เนื้อที่เข้าไปในปากอ่อนนุ่ม ไม่เย็นแข็งซะจนไม่ได้รสสัมผัสของเนื้อแบบทั่วไป แถมซอสที่คลุกเคล้ามันเข้าเนื้อมากๆ จนน่าประหลาดใจ แอบถามเชฟว่านี่หมักซอสกับเนื้อไว้นานรึเปล่า เชฟยิ้มส่ายหัวบอกว่าแค่คลุกลงไปนั่นแหละ ฮืมมมม เขาต้องมีเคล็ดลับอะไรสักอย่างแน่ๆ

 

 

 

 

จานที่สามคือลิ้นย่างในตำนาน ลิ้นวัวประกอบด้วยสามส่วน เริ่มแรกที่ส่วนปลายลิ้น ซึ่งจะย่างอย่างรวดเร็วและต้องกินทันทีที่ย่างเสร็จ พักทิ้งไว้ไม่ได้ไม่อย่างนั้นจะแข็ง เชฟตั้งใจย่างแล้วคีบลิ้นใส่จาน ส่วนพวกเราทำหน้าที่กินให้เร็วที่สุด แล้วทันใดนั้นตาก็เป็นประกาย ส่วนปลายของลิ้นกรุบกรอบ แต่ไม่เหนียวเลย และมันกำลังดี อร่อยมาก

 

 

 

ส่วนที่สองคือโคนลิ้นด้านในสุด ชิ้นของลิ้นถูกหั่นมาค่อนข้างหนา เชฟย่างด้านนอกให้พอสุก และผ่าครึ่งให้เห็นด้านในสุกกำลังดี ยังชุ่มฉ่ำมีเลือดฝาดนิดๆ (ลิ้นนะ ไม่ใช่แก้ม ฮา) กินเข้าไปแล้ว อาห์ มันทั้งนิ่มทั้งนุ่ม แต่ก็เด้งในเวลาเดียวกัน เคี้ยวได้เต็มปากเต็มคำ ส่วนตัวเราเป็นแฟนคลับลิ้นวัวอยู่แล้ว ก็ต้องขอคารวะลิ้นของร้านนี้จริงๆ ว่ามันนุ่มกว่าทุกร้านที่เคยกินมา ประทับใจมาก

 

 

 

 

ส่วนสุดท้ายคือลิ้นด้านหลัง ซึ่งจะเป็นส่วนที่มีต่อมไขมันด้านข้างสองอัน เชฟนากาฮาระบอกว่าเวลาย่างลิ้นส่วนนี้จะมีรสหวานมากที่สุด แต่เนื้อสัมผัสจะค่อนข้างเหนียว ให้ค่อยๆเคี้ยวไปเรื่อยๆ เพื่อให้ความหวานออกมา กินเข้าไปก็เป็นตามเชฟว่าทุกประการ อร่อยค่า

 

 

จานที่สี่ สลัดผัก 18 ชนิด ผักสดส่งตรงจากจังหวัดอิบารากิ ซึ่งทุกวันฟาร์มจะส่งมาตอนเช้า และทางร้านจะเสิร์ฟให้ลูกค้ากินในตอนเย็นทันที ดังนั้นผักจึงสดกรอบมาก และน้ำสลัดอร่อยมาก มีความครีมมี่คล้ายน้ำสลัดงาแต่ไม่หวาน ออกเค็มนิดๆ และหอมงา จนถึงขั้นต้องถามเชฟว่าใช้น้ำสลัดอะไร เผื่อซื้อกลับไทยบ้าง เชฟบอกว่าน้ำสลัดทำเองจ้า ทุกอย่างในร้านทำเองหมดยกเว้นจาน แล้วเชฟก็หัวเราะให้มุขของตัวเอง ฮ่าๆ

 

 

 

จานที่ห้า กลับมาต่อที่เนื้อส่วนเซอลอยด์ ถือเป็นส่วนที่มันที่สุด แต่เนื้อสัมผัสเวลากินเข้าไปก็คือเนียนนุ่มดุจแพรไหม ต่างจากปกติที่เนื้อจะมีความสากของส่วนเนื้อแดง แต่เซอลอยด์ชิ้นนี้คือเข้าปากแล้วเนียนมาก นุ่มจนไม่คิดว่ากินเนื้ออยู่ เชฟบอกว่าผู้หญิงที่ไม่ใช่คอเนื้อเท่าไรจะชอบจานนี้ ส่วนคอเนื้อตัวจริงจะชอบเนื้อที่มีสัมผัสให้ได้เคี้ยวมากกว่า 

 

 

 

จานที่หกเนื้อส่วนฮารามิ หรือเนื้อบริเวณกระบังลมนั่นเอง จานนี้คือ The best สำหรับบิ๊ม เนื้อส่วนนี้จะถูกหั่นหนาและย่างไฟแรงจนด้านนอกค่อนข้างเกรียม แต่ด้านในชุ่มฉ่ำมาก เวลากินเชฟให้ป้ายยุซุโกะโช (พริกสีเขียวๆ เปียกๆ เค็มๆ มีกลิ่นส้มยุซุ ปกติเสิร์ฟคู่กับพวกไก่ย่างยากิโทริ) ลงไปบางๆ ที่ด้านบน สัมผัสแรกที่กัดคือความแข็งของเนื้อด้านนอก แต่พอเคี้ยวไปแล้วมันมีมันแตกในปาก และด้วยความหนาทำให้เรารู้สึกเหมือนว่ามันจะเหนียว แต่พอยิ่งเคี้ยวไปเรื่อยๆ กลิ่นเนื้อยิ่งฟุ้งเต็มปาก คู่กับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของพริกที่ป้ายด้านบน  มันดีมากจริงๆ

 

 

 

จานที่เจ็ด เนื้อส่วนอิจิโบะ หรือก้นวัวซึ่งมีมันแทรกระหว่างเนื้อแดง คล้ายกับเซอลอยด์ที่ปริมาณมันน้อยลงมานิดนึง ซึ่งทำให้รับรู้รสชาติและกลิ่นของความเป็นเนื้อได้มากขึ้น หมักง่ายๆ ด้วยเกลือแต่อร่อยถูกใจมาก

 

 

 

จานที่แปด ซุปหางวัว บิ๊มขอยกให้เป็นซุปหางวัวที่ข้นที่สุดเท่าที่เคยกินมา ครีมมี่มากทั้งที่ไม่ได้ใส่ครีม! และหอมพริกไทยที่สุด ตอนแรกกลัวว่าถ้ากินหมดจะต้องอิ่มแน่ๆ และกินจานอื่นต่อไม่ไหว แต่ด้วยความอร่อยทำให้เราเผลอกินหมดถ้วยจนได้ ฮ่าๆ

 

 

 

จานที่เก้า เนื้อส่วนมิซึจิ หรือจักกะแร้วัว กินแบบหมักซอส สำหรับคนที่ไม่สู้เนื้อมันหรือเนื้อเหนียวน่าจะถูกใจสิ่งนี้เป็นพิเศษ เพราะปริมาณเนื้อและมันกำลังดี ไม่มากไปน้อยไป แถมเนื้อก็ยังเด้งสู้ลิ้น อร่อยมาก

 

 

 

จานที่สิบ เนื้อส่วนชินทามะ หรือ โมะโมะ หรือต้นขาวัวนั่นเอง แต่ร้านนี้จะใช้ส่วนที่เป็นเนื้อแดงด้านในลึกสุดติดกระดูก  ดังนั้นเนื้อจะนุ่มมากและแทบจะไม่ติดมัน แต่ไม่ต้องกลัวว่าเนื้อมันจะกระด้าง เพราะขนาดสายกินมันอย่างบิ๊มยังยอมใจให้ความนุ่มนิ่มของมันเลย  เนื้อไร้ไขมันก็อร่อยได้ถ้ารู้จักวิธีย่างและเลือกส่วนเนื้อที่ดี

 

 

 

จานที่สิบเอ็ด เป็นรวมโฮรุมง หรือไส้นั่นเอง โดยจานนี้จะมีไส้สองส่วน คือมิโน (ไส้ด้านบน) กับไดโจ (ลำไส้ใหญ่) โดยส่วนตัวชอบทั้งสองส่วนอยู่แล้ว จุดเด่นของมิโนคือจะกรุบกรอบ แต่ถ้าย่างไม่ดีจะเหนียว แต่ร้านนี้ใช้วิธีบั้งมิโนอย่างละเอียดยิบ ซึ่งเมื่อกินทันทีที่ย่างเสร็จจะได้รสสัมผัสกรุบกรอบมากและไม่เหนียวเลย จนอยากยกมือขอเชฟเพิ่มอีกคำ ส่วนไดโจ เป็นส่วนที่มีไขมัน ของโปรดของดิฉัน คือมันเหมือนก้อนมันน้อยๆ ที่พร้อมจะเข้าไปละลายในปาก ปกติก็กินได้ไม่เยอะเท่าไหร่เพราะความเลี่ยน แต่ที่ร้านนี้เชฟเสิร์ฟให้เรากินคู่กับซอสพอนซึ (ซอสเปรี้ยว) และไช้เท้าขูด ทำให้การกินไดโจไม่เลี่ยนอีกต่อไป มันดีมากกกกกกก เวลาเข้าปากนอกจากจะหอมไขมันเต็มปากแล้ว ยังหอมซอสพอนซึอีกด้วย มันเข้ากันมากกก รู้สึกประทับใจในการสร้าง combination นี้

 

 

 

จานที่สิบสอง แซนด์วิชเนื้อวัว พวกเราเริ่มเหนื่อย อิ่มแปล้ แต่เมื่อเชฟบอกว่าคนไทยที่เคยมากินทุกคนบอกว่ามันคือ THE BEST! ก็ต้องลองน่ะสิ ซึ่งมันคือที่สุดจริงๆ จ้า ต้องยอมรับเลยว่าไม่เคยกินแซนด์วิชสเต๊กที่ร้านไหนที่กัดแล้วเนื้อมันนุ่มร่อนออกมาเป็นลิ่มขนาดนี้ เนื้อนุ่มละมุนมาก หมักกับซอสหวานเค็มกำลังพอดี เชฟเสิร์ฟให้กินคู่กับเบียร์ดำ ซึ่งมันดีมากกกก กลิ่นเบียร์ดำและความซ่านิดๆ ช่างลงตัวกับแซนด์วิชชิ้นนี้จริงๆ

 

 

ยังไม่จบ! จานที่สิบสาม ข้าวหน้าเนื้อ เสิร์ฟคู่กับผักดอง น่ากินมาก แต่เราถึงกับต้องร้องขอกับเชฟว่าขอข้าวน้อยๆ หน่อย ท้องตึงไม่ไหวแล้วจ้า ข้าวหน้าเนื้อจานน้อยจานนี้เชฟใช้เนื้อติดมันมาทำ รสชาติเนื้อจึงนุ่มลิ้นลงตัวกับข้าว แต่ที่ชอบคือขิงดองด้านบนอร่อยมากกกก ออกรสเค็มเปรี้ยวหวานนิดๆ กำลังดีมากๆ  และมีไซด์ดิชเป็น นามุรุ หรือพวกผักดองแบบเกาหลีเสิร์ฟเคียงให้ด้วย ซึ่งมันกรอบ รสชาติออกเค็มอ่อนๆ อร่อยมาก กินเล่นก็ดี กินตัดเลี่ยนก็ดี

 

 

 

สุดท้าย จานที่สิบสี่เป็นราเม็งเกาหลีเย็น เสิร์ฟกับไข่ต้มและกิมจิ เมนูนี้ไม่มีเนื้อแต่อย่างใดแต่ก็ยังอร่อย เส้นราเม็งเย็นคือเด้งสู้ลิ้น และน้ำซุปก็รสเค็มอ่อนๆ กำลังดี เย็นสดชื่น กินคู่กับกิมจิคือล้างปาก ล้างไขมันทั้งหมดที่กินมาในวันนี้ได้จริงๆ และแน่นอนว่าบิ๊มยกถ้วยซดน้ำซุปจนหมด

 

 

ปิดท้ายจริงๆ ด้วยไอศกรีมพิตาชิโอที่ร้านทำเอง ไอศกรีมพิตาชิโอเป็นของโปรดบิ๊มอยู่แล้ว รสชาติหวานนุ่มลิ้น เข้าปากปุ๊บละลายทันที กลิ่นหอมและความมันของถั่วแผ่กระจายไปทั่วทั้งปาก  ถือว่าเป็นการปิดมื้ออาหารได้สมบูรณ์มากๆ ฟินแล้วจร้าาา

 

การกินโอมากาเสะ หรือที่คนไทยชอบใช้คำว่า “ตามใจเชฟ” ก็คือการที่เราได้ไปกินสิ่งที่เชฟรังสรรค์ขึ้นมาเป็นท่วงทำนองเพลงในแบบของเชฟแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่าก็จะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ สำหรับบิ๊ม “เพลงเนื้อย่าง” ของเชฟนากาฮาระเรียกได้ว่าถูกจริตเกือบทุกโน๊ต เพราะไม่ใช่แค่เนื้อที่ดี แต่เชฟมีการจัดเรียงเมนูให้ไม่น่าเบื่อ โดยสลับไปมาระหว่างเนื้อบาง เนื้อหนา และความหลายหลายของซอสหรือเกลือที่หมัก นอกจากนี้เมนูอื่นๆ ที่เชฟทำขึ้นมาคั่นระหว่างเมนูเนื้อก็อร่อยมากไปซะทุกจาน  หลายอันเป็น combination ที่เราไม่เคยกินมาก่อนแต่ลงตัวมากๆ จนรู้สึกประทับใจในพรสวรรค์ด้านการจับคู่และสร้างรสชาติใหม่ของเชฟนากาฮาระมาก

 

 

ดังนั้นถ้าใครสายเนื้อ เราอยากให้คุณเก็บเงินมาลอง เพราะบางทีความสุขก็ต้องใช้เงินเข้าสู้กันหน่อย!

 

หมายเหตุ : วิธีการจอง สำหรับชาวต่างชาติสามารถจองผ่านเว็บ pocket concierge สำหรับคนที่อยู่ญี่ปุ่นสามารถโทรจองตรงกับร้านได้เลย ราคา standard Course 17,000 เยน / Standard Plus Course 19,000 เยน / Special Course 20,500 เยน

 

พิกัด: https://goo.gl/maps/wnFWuX3CgK2vfyWs9

 

กราฟิก: ณัฐฐินันท์ นนทสิงห์

Share this content

Contributor

Tags:

อาหารญี่ปุ่น, เนื้อวัว, โอมากาเสะ

Recommended Articles

Food Storyญี่ปุ่น จากดินแดนมังสวิรัติกว่าพันปี สู่ผู้ผลิตเนื้อพรีเมียมของโลก
ญี่ปุ่น จากดินแดนมังสวิรัติกว่าพันปี สู่ผู้ผลิตเนื้อพรีเมียมของโลก

ทำไมคนญี่ปุ่นจึงเพิ่งมากินเนื้อวัว แล้วอดีตประเทศแห่งการไม่กินเนื้อ กลายเป็นแหล่งผลิตสุดยอดเนื้อวัวได้อย่างไร?

 

Recommended Videos