เปิด "ตำราอาหาร" ได้ที่นี่

 

food story

‘ที่อ้วน…ก็เพื่อการแสดง’ ไหนดูซิ ดารากินอะไรให้อ้วน!

Story by นคร โพธิ์ไพโรจน์

เรื่องอ้วนอาจจะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่สำหรับเหล่านักแสดงที่ต้องขุนตัวเองให้ ‘อ้วนเพื่อการแสดง’ นั้น บอกเลยว่าไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

เมื่ออยู่ในโปรแกรมคุมอาหาร หลายคนมักบ่นว่า “จะลดให้ได้สักโลฯ ทำไมมันยากจัง หายใจเข้าก็อ้วนแล้ว” แต่เชื่อหรือไม่? การเพิ่มน้ำหนักหรือทำตัวเองให้อ้วนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ว่าแม้แต่น้อย โดยเฉพาะการเพิ่มชั้นเนื้อเพื่อทำมาหากินอย่างเหล่านักแสดง ยิ่งต้องดูแลการกินเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้ ‘ความอ้วนเพื่อการแสดง’ จะแว้งมาทำลายสุขภาพเข้าจริงๆ เหมือนคนเหล่านี้ที่แค่แปลงสภาพให้ ‘อ้วนเพื่อบท’ ยังน่าทึ่งแล้ว วิธีกินของพวกเขานั้นน่าทึ่งยิ่งกว่า และผลลัพธ์นั่นก็น่าทึ่งที่สุด!

 

 

เรเน่ เซลล์เวเกอร์

 

เธอคนนี้นับเป็นตัวอย่างของการอ้วนเพื่อบทที่ได้รับการอ้างอิงอยู่บ่อยครั้ง เพราะเนื้อแท้แล้ว เรเน่ เซลล์เวเกอร์ เป็นสาวรักสุขภาพ ร่างเล็ก แถมเป็นชาวอเมริกัน แต่เมื่อได้รับเลือกให้รับบท บริดเจ็ท โจนส์ สาวอังกฤษในนิยายขายดี นอกจากจะต้องปรับสำเนียงเหน่อแบบเท็กซัสให้เป็นผู้ดีอังกฤษแล้ว เธอยังขุนน้ำหนักขึ้นมาราว 25 กิโลกรัม แถมทำแบบนี้ถึงสองรอบ ในหนัง Bridget Jones’s Diary (2001) และ Bridget Jones: The Edge of Reason (2014)

 

สิ่งที่เธอทำในภาคแรกนั้นสะเปะสะปะอย่างยิ่ง ด้วยการกินอาหารไขมันสูงอย่างบ้าคลั่ง ทั้งโดนัท พิซซ่า โปะชีสแน่นๆ แต่เมื่อต้องมาเล่นภาคสอง เธอก็เริ่มคิดว่าไม่น่าจะส่งผลดีต่อสุขภาพสักเท่าไร เลยจ้างนักโภชนาการมาประกบและคอยดูแลพฤติกรรมการกินอย่างใกล้ชิด กระนั้นเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ สิ่งที่เซลล์เวเกอร์กินก็น่าอร่อยจนอิจฉาอยู่ดี เช่น ขนมปังสี่แผ่นอัดเนยและครีมชีสแน่นๆ, เฟรนช์โทสต์ราดน้ำเชื่อมฉ่ำๆ กินกับไข่เบเนดิกต์ ทั้งหมดคือมื้อเช้ามื้อเดียว! หลังจากนั้นก็กินเข้าไปสิ ทั้งสเต๊ก มันฝรั่งทอด ขนมกรุบกรอบ ช็อกโกแลต มิลค์เชค ฯลฯ เหมือนจะกินอะไรก็ได้ แต่มันก็มีหลักอยู่ คือเธอต้องกินอาหารต่อวันประมาณ 3,800 แคลอรี (ผู้หญิงอายุประมาณสามสิบควรกินไม่เกิน 2,000 แคลอรีต่อวัน) โดยเป็นไขมันประมาณ 200 กรัม (ปกติแล้วไม่ควรเกิน 70 กรัมต่อวัน) และเลี่ยงกิจกรรมที่เผาผลาญพลังงานให้มากที่สุด ก่อนที่เธอจะกลับมาโหมออกกำลังกายและกินอาหารดีต่อสุขภาพอย่างเคร่งครัดอีกครั้งเมื่อถ่ายทำเสร็จ

 

 

ชาร์ลิซ เธอรอน

 

อีกหนึ่งนักแสดงสาวแถวหน้าฮอลลีวูดที่ขายทั้งความสามารถและความสวย โดยเฉพาะรูปร่างและกล้ามเนื้อที่แสดงให้เห็นว่าเธอใส่ใจกับการดูแลสุขภาพขนาดไหน แต่ถ้าทำเพื่อการแสดง เธอรอนก็เต็มที่ อย่างน้อยเธอก็เคยเพิ่มน้ำหนักเพื่อเข้าถึงบทบาทมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นในหนัง Monster ของ แพตตี เจนกินส์ เมื่อปี 2003 กับบทฆาตกรต่อเนื่อง ไอลีน วัวร์นอส ที่มีตัวตนจริง และเธอก็เพิ่มน้ำหนักขึ้นมา 30 ปอนด์ โดยเธอรอนบอกว่าการเพิ่มน้ำหนักในครั้งนั้นไม่ได้อยากให้ตัวเองอ้วน เพราะตัวจริงของวัวร์นอสก็ไม่ใช่คนอ้วน แต่คือการอนุญาตให้ตัวเองได้ใช้ชีวิตแบบไร้คุณภาพ และกินอาหารที่เต็มไปด้วยพลังงาน เพราะฉะนั้นเธอเลยกินอาหารจำพวกมันฝรั่งทอดกรอบและโดนัทตลอดเวลาก่อนจะถ่ายทำ ซึ่งนี่คือบทที่ทำให้เธอคว้าออสการ์มาได้สำเร็จ

 

แต่ครั้งนั้นยังไม่ใช่ขีดสุดของการเพิ่มน้ำหนัก เธอรอนทำลายสถิติตัวเองด้วยหนังปี 2018 เรื่อง Tully ของ เจสัน ไรต์แมน เธอรับบทคุณแม่ลูกสามที่ปล่อยให้ความเป็นแม่กัดกินชีวิตของตัวเองจนพังพินาศ เรื่องนี้เธอรอนเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาถึง 50 ปอนด์ ด้วยแนวคิดแบบเดิมคือการอนุญาตให้ชีวิตพังทลายด้วยการดูดซับพลังลบและปล่อยตัวไปกับบรรยากาศผุพังรอบข้าง เธอรอนวางมันฝรั่งทอดกรอบไว้ทุกมุมของชีวิตแม้แต่ในอ่างอาบน้ำ และกินมันตลอดเวลา ด้วยหวังว่าจะเข้าถึงความเป็นแม่ในหนังนั้นให้ได้ แต่ผลที่เกิดขึ้นนั้นใหญ่หลวงนัก ลำพังการลดน้ำหนักกลับมาเหมือนเดิมดันไม่ใช่ปัญหาเท่าการที่เธอรอนเป็นโรคซึมเศร้าทันทีจากการเพิ่มน้ำหนักและทำความเข้าใจตัวละครในครั้งนี้

 

 

ไรอัน กอสลิง

 

หนึ่งในนักแสดงชายสุดฮอตอย่าง ไรอัน กอสลิง ผู้มีรูปร่างสูงชะลูด ครั้งหนึ่งเมื่อเขาต้องรับบท แจ็ค ซัลมอน คุณพ่อของหนูน้อยที่ถูกฆาตกรรมใน The Lovely Bones กอสลิงตีความตัวละครว่าน่าจะหนักสัก 210 ปอนด์ เพราะจมดิ่งอยู่กับความสูญเสีย เขาเลยเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาถึง 60 ปอนด์ ด้วยการดื่มไอศกรีมที่ละลายแล้วต่างน้ำไปเลย และเมื่อวันที่เขากลับมาเจอผู้กำกับ ปีเตอร์ แจ็คสัน ก็กลายเป็นความกระอักกระอ่วนทันที เพราะสิ่งที่กอสลิงทำนั้นผิดไปจากภาพในหัวของแจ็คสันโดยสิ้นเชิง สุดท้ายการเพิ่มน้ำหนักของกอสลิงก็ไม่นำไปสู่อะไร เพราะต่อมาบทนั้นกลับตกเป็นของ มาร์ค วอห์ลเบิร์ก แทน

 

 

 

โรเบิร์ต เดอ นิโร

 

หนึ่งในการเพิ่มน้ำหนักที่เข้าขั้นคลาสสิกของโลกภาพยนตร์ คือ โรเบิร์ต เดอ นิโร ในหนัง Raging Bull (1980) เขารับบทนักมวย เจค ลาม็อตตา ที่เราจะได้เห็นเขาตั้งแต่ยุคเฟื่องฟูจนชีวิตพังทลายลงในที่สุด ความน่าตะลึงคือ เดอ นิโรลงทุนฟิตหุ่นตัวเองเพื่อรับบทนักมวยได้อย่างไร้ที่ติ ก่อนที่จะเบรกการถ่ายทำอยู่หลายสัปดาห์เพื่อให้เดอ นิโรกลับอิตาลี (ครอบครัวเขาเป็นชาวอิตาเลียน) เขากินพาสต้าในระดับ ‘มากที่สุดเท่าที่จะมากได้’ จนน้ำหนักขึ้นมาถึง 60 ปอนด์ จึงกลับมาเข้าฉากสุดท้ายเพียงฉากเดียว ผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี บอกว่าตอนเห็นสภาพนั้นของเดอนิโรเขาใจคอไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะกลัวว่าจะถ่ายทำไม่เสร็จ เนื่องจากตอนนั้นเดอ นิโรหายใจลำบากเต็มทีแล้ว แม้สุดท้ายเขาจะคว้าออสการ์มาครองได้สำเร็จก็คิดว่าเสี่ยงเกินไปอยู่ดี

 

 

อันที่จริงยังมีนักแสดงอีกมากมายที่ยอมผอมหรืออ้วนเพื่อบทบาท ทั้งคริสเตียน เบล ซึ่งเคยลดลงมาจนเหลือแต่กระดูกใน The Machinist และยังยัดชีสเบอร์เกอร์กับโดนัทจนขึ้นมากว่า 40 ปอนด์เพื่อรับบทใน American Hustle รวมถึง แมทธิว แมกคอนาเฮย์ ที่ยอมกินพิซซ่าทุกมื้อจนเพิ่มมาเกือบ 50 ปอนด์ เพื่อรับบทนำใน Gold แต่นั่นคือความเสี่ยงที่พวกเขายอมเอาตัวเข้าแลก ส่วนจะคุ้มค่าการลงทุนแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นที่ตามมาหลังจากนั้น แต่ดูเหมือนว่าการกินของพวกเขานั้นจะไม่ใช่เรื่องน่าสนุกสักเท่าไร

Share this content

Contributor

Tags:

อาหารกับภาพยนตร์, อาหารลดน้ำหนัก

Recommended Articles

Food StoryWilly Wonka กับชีวิตที่หวานปนขมเหมือนรสช็อกโกแลต
Willy Wonka กับชีวิตที่หวานปนขมเหมือนรสช็อกโกแลต

ร่วมเดินทางตามหาต้นกำเนิดและเปิดสูตรลับช็อกโกแลตวองก้า