เปิด "ตำราอาหาร" ได้ที่นี่

 

food story

Bake a Wish เค้กญี่ปุ่นชิ้นจิ๋ว ไอเดียซูชิแบบหยิบเอง

Story by เสาวลักษณ์ เชื้อคำ

คุยกับ วีจิ ปรัชญาศิลปวุฒิ ผู้บริหารและ R&D ยืนหนึ่งของ Bake a Wish

Bake A Wish เป็นแบรนด์เค้กสามัญประจำห้างฯ ที่ชาวกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองหลายที่เห็นกันจนชินตา เอกลักษณ์สำคัญคือเค้กมินิ หรือเค้กจิ๋วชิ้นพอดีคำชิ้นละสิบกว่าบาท ที่ทำให้เราหยิบซื้อได้แบบไม่ลังเล แม้ว่าหยิบๆ ไปแล้วราคารวมก็จะเท่ากับซื้อเค้กชิ้นใหญ่ แต่เราก็ยังชอบซื้อเค้กชิ้นเล็กจิ๋วอยู่ดี

 

 

 

 

 

 

 

นอกเหนือจากการเป็นเค้กจิ๋วในตำนานแล้ว Bake A Wish ยังได้ชื่อว่าเป็นแบรนด์แรกๆ ที่เริ่มทำเค้กสไตล์ญี่ป่นในไทย แถมยังเป็นร้านเค้กที่มีสาขาทั่วประเทศ และยังก้าวเข้าสู่แวดวงโฮเรก้า พร้อมเสิร์ฟความอร่อยแบบ Bake A Wish ให้ธุรกิจอาหารอื่นๆ ได้เลือกซื้อยกถาดกันในราคาน่ารักๆ 

 

 

 

 

 

 

 

 

เรียกว่านอกเหนือจากเค้กชิ้นจิ๋วที่เราจำได้แล้ว Bake A Wish ยังทำอะไรๆ มากกว่าที่เราคิดอีกเยอะ

 

 

 

 

วีจิ ปรัชญาศิลปวุฒิ ผู้บริหารและหนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ตั้งใจว่าจะพา Bake A Wish เดินทางไปในเส้นทางที่หลากหลายอยู่เสมอ และนี่คือบทบันทึกหนึ่งระหว่างที่ Bake A Wish กำลังรักษาความสม่ำเสมอในการออกขนมใหม่ๆ คู่ไปกับการรักษามาตรฐานแฟรนไชนส์ รีแบรนด์ทุก 5 ปี บุกตลาดใหม่ และใฝ่ฝันถึงการเข้าตลาดหลักทรัพย์ไปพร้อมๆ กัน

 

 

 

 

 

 

 

กว่าจะเป็น Bake A Wish

 

 

 

 

เรามี Bake A Wish เป็นเค้กสามัญประจำห้างมานานจนไม่รู้ตัว แต่เผลอแป๊บเดียว Bake A Wish ก็ใกล้จะก้าวเข้าสู่ขวบปีที่ 20 ของการทำธุรกิจแล้ว

 

 

 

 

“Bake a Wish เริ่มมาจากธุรกิจครอบครัวค่ะ” คุณวีจิเริ่มเล่าก้าวแรกในการทำธุรกิจเค้กให้เราฟังด้วยภาพที่แจ่มชัด ราวกับเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน 

 

 

 

 

“เราเริ่มมาประมาณ 18 ปีที่แล้ว ตอนนั้นวีจิเรียนจบจากจากมหาวิทยาลัยแล้วก็ไปเรียนทำขนมต่อ ประกอบกับคุณแม่ซื้อตึกพอดี เราก็เลยขอคุณแม่ไปตรงๆ ว่า ขอลองเปิดร้านได้ไหม เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่อยากเป็นลูกจ้างอะ เปิดเองเลยดีกว่า พอมันเป็นเด็กก็เลยไม่มีความกลัวอะไรเลย

 

 

 

 

“ตอนนั้นแบบแวดวงเบเกอรี คาเฟ่ บรรยากาศยังไม่คึกคักขนาดนี้เลย สมัยนั้นแทบจะมีแค่ร้านเชนร้านใหญ่อยู่เจ้าเดียว แล้วเค้กที่คนคุ้นกันก็คือพวกบัตเตอร์ครีม บัตเตอร์เค้ก แต่ที่เราเรียนมาเป็นสไตล์ตะวันตก เป็นเค้กฝรั่ง เนื้อแน่นๆ หวานๆ คนก็ไม่เก็ตว่าขนมโรงแรมมันจะมาขายอยู่ในห้องแถวห้องเดียวได้ยังไง

 

 

 

 

“โชคดีว่าพี่สาวเราทำงานออกแบบกับคนญี่ปุ่น เขาก็พาเพื่อนที่เป็นเชฟชาวญี่ปุ่นมาชิม เชฟเขาก็บอกว่าจริงๆ แล้วเค้กมันเบากว่านี้ได้อีกนะ เขาก็ใจดีมาปรับให้ แล้วก็ให้สูตรเรามาประมาณ 10 สูตร พอปรับไปเน้นนมเน้นความเบาความนุ่มแบบญี่ปุ่น เราก็เปลี่ยนมาเป็น Japanese Homemade Cake แล้วก็ไม่กลับไปใช้สูตรที่เรียนมาอีกเลย เพราะสุดท้ายคนไทยตื่นเต้นกับเค้กแบบญี่ปุ่นมากกว่า”

 

 

 

 

 

 

 

ท่ามกลางบัตเตอร์เค้ก เค้กโบราณราว 20 ปีก่อน ความนุ่มฟูของ Bake A Wish กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายสาขาเข้าไปอยู่ในห้างสรรพสินค้าจนถึงปัจจุบัน

 

 

 

 

“เราเริ่มทำแบรนด์ปี 2006 พอปี 2008 เราก็เริ่มออกบูธตามห้างฯ ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เครือเซ็นทรัลเข้ามาติดต่อให้เราไปเปิด หลังจากนั้นก็มีพารากอนติดต่อมาอีก แล้วพอ 2 ห้างฯ ที่น่าเชื่อถือที่สุดของประเทศไทยให้โอกาสเราได้ไปยืนตรงนั้น มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราก้าวเขาไปถึงช่วงของการมีหน้าร้านให้ห้าง

 

 

 

 

“เราเริ่มขยายไปจนมีประมาณ 16 สาขา ทำมาเป็น 10 ปี ก็รู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้ว เพราะมันเป็นการที่เราหาเงินได้มาก็เอาไปลงทุนอย่างเดียว แล้วห้างฯ ในไทยก็มีเยอะมาก เราจะขยายไปครอบคลุมทั้งหมดได้ยังไง มันเลยนำมาสู่การคิดเรื่องแฟรนไชน์ ก็เลยไปเรียนกับสมาคมแฟรนไชส์ หลังจากนั้นเลยได้วางรากฐานจนขยายไปอย่างที่เห็นในตอนนี้”

 

 

 

 

 

 

 

เค้กมินิ

 

 

 

 

“เค้กมินินี่มาก่อนที่เราจะเป็นแฟรนไชนส์อีก ตอนนั้นเราไปออกบู้ธตามห้างนี่แหละ แล้วบู้ธเราก็อยู่ตรงข้ามกับร้านซูชิพอดี เรายืนดูเขาแล้วก็รู้สึกว่า ทำไมคนรุมเขาจังวะ (หัวเราะ) ทำไมมันดูสนุก คนดูสนุกกับการได้คีบเอง ไซซ์มันก็เล็กๆ แล้วราคามันก็ชิ้นละ 10-12 บาท ก็เลยมาคิดว่า ถ้าเกิดเราทำเค้กแบบนี้จะดีไหม แล้วทำโปรโมชันซื้อ 10 แถม 1 คือเปลี่ยนดีไซน์หมดเลย ทุกตัวในร้านตอนนั้นต้องมีแบบเค้กมินิหมด

 

 

 

 

“ปรากฏว่าเค้กมินิทำให้ Bake a Wish สามารถขยายไปต่างจังหวัดได้ มันเปลี่ยนวิธีคิดของแบรนด์ไปเลย เพราะเรารู้แล้วว่าการมีราคาที่จับต้องได้มันทำให้เราไปได้ไกลขึ้น แต่ทีนี้เราก็มีจุดเปลี่ยนอีก เพราะก่อนหน้านั้นเราเป็นเค้กใส่ถาดเปลือยๆ เลย และตู้ก็เป็นตู้หน้าเปิด พอมีเรื่องโรคติดต่อมา เราไม่สามารถวางไว้แบบเดิมได้แล้ว ทุกอย่างเราต้องมีแพ็กเกจหมดตั้งแต่ในร้าน มันก็มีค่ากล่อง ค่าสติ๊กเกอร์เพิ่มขึ้นมาอีกโดยที่เรายังต้องรักษาฐานราคาเดิมของเราให้ได้ สุดท้ายยื้อต้นทุนไว้ไม่ไหว ก็เกิดปรากฏการณ์เพิ่มราคาขึ้น เราไม่อยากขึ้นราคา แต่สุดท้ายเราก็จำเป็นต้องทำ เพราะเรายืนยันว่าจะไม่ลดราคาสินค้า”

 

 

 

 

แน่นอนว่าเค้กมินิเป็นซิกเนเจอร์ของ Bake A Wish แต่คุณวีจิยืนยันว่า Bake A Wish พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

 

 

 

 

 

 

 

“จริงๆ เราเปลี่ยนไปทุกๆ 5 ปีเลยนะ ซึ่งปีนี้ก็เป็นอีกอันนึงที่ต้องที่ต้องรีเฟรชแบรนด์ของเราแล้วเหมือนกัน

 

 

 

 

“ภาพจำของคนที่จะเห็นแบบเป็นบูทขาวๆ ดำๆ ตามห้างเนี่ยจริงๆ มันมีพัฒนาการมาแล้วหลายรอบ เพราะเราอยากเป็นคนที่เทรนดี้เสมอในแวดวงของเบเกอรี ถ้าอยู่ในวงการก็จะรู้ว่า กระแสของเบเกอรีมันมีอะไรใหม่ๆ มาตลอด เด็กๆ สมัยนี้ก็เก่งมาก แบบทุกคนเก่งอะ ใครๆ ก็สามารถอบเบเกอรีได้ เบเกอรีมันไม่มีกรอบแล้วค่ะ แล้วพอมันไม่มีกรอบ เราก็ยังต้องปรับตัวให้เร็ว

“แต่ถ้าถามว่าสนุกไหม เราก็สนุกนะ…”

 

 

 

 

 

 

 

เปลี่ยนได้ แต่ไม่เสียตัวจน
วิธีปรับตัวตามโจทย์ของ Bake A Wish

 

 

 

 

คลื่นความนิยมของเบเกอรีสารพัดแบบเป็นโจทย์สำคัญที่ Bake A Wish ต้องทำการบ้านอยู่เสมอ แต่คุณวีจิ ในฐานะผู้ก่อตั้ง ผู้บริหาร และ R&D หรือ Research and Development คนเดียวขององค์กรย่อมรู้ดีว่า ไม่ใช่เบเกอรีทุกอย่างที่จะเหมาะกับ Bake A Wish เสมอไป

 

 

 

 

“เราว่าเราชอบการเปลี่ยนแปลง เรารู้สึกว่าการอยู่นิ่งนานๆ ไม่ดีนะ ไม่อย่างนั้นกระแสธารนี้มันจะกลบเรา กลบจนคนไม่พูดถึงเลย Bake A Wish เลยมีทั้งเค้กที่เป็นเค้กคลาสสิก ขายดีตลอดกาล ยังไงก็ต้องมี เช่นพวกชูครีม เค้กช็อกโกแลต เรดเวลเวท บานอฟฟี่… แล้วก็มีเมนูใหม่ที่หมุนเวียนทุกเดือน กับมีแบรนด์ที่แตกออกไปใหม่ เพราะเรารู้ว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนการสื่อสารของ Bake a Wish เพื่อให้รองรับกระแสเบเกอรีทั้งหมดในปัจจุบันได้ 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้อดีอย่างหนึ่งของเราคือ Bake A Wish มี R&D คนเดียว ซึ่งก็คือเรานี่แหละ (หัวเราะ) ที่จริงก็จะมีน้องๆ ที่ตามเก็บต้นทุน ดูอายุการการวางขายอะไรอีก แต่คนที่ดูสูตรจริงๆ มีเราคนเดียว เพราะฉะนั้นเรามั่นใจว่า ท่ามกลางกระแสต่างๆ ที่มาปะทะ เราจะไม่หลุดไปจาก DNA ของ Bake A Wish แน่นอน

 

 

 

 

“เรื่องสูตรไม่ใช่เรื่องที่ยากที่สุดนะ สำหรับการทำ Bake A Wish ในมุมของเรา สูตร 10 สูตรที่ได้มา มันฝังอยู่ในลิ้นเราไปแล้ว แต่ยิ่งที่ยากคือวัตถุดิบค่ะ

“คือเอาอย่างนี้นะคะ ทุกคนอยากทำขนมอร่อยกันทั้งนั้น แต่ราคาวัตถุดิบเบเกอรีมันเปลี่ยนแปลงไวมาก แล้วแบรนด์เราไม่ได้ขายสาขาเดียวที่จะขายชิ้นละ 300-400 บาทก็ได้ เรามีสาขา เรามีแฟรนไชนส์ที่เขาจะได้ผลกระทบจากการตั้งราคา การคำนวนต้นทุนของเราแน่นอน เพราะฉะนั้นเราต้องทำยังไงก็ได้ให้ขนมเราอร่อย และยังอยู่ในราคาที่เป็นเหตุเป็นผล  เราเป็นทั้ง R&D และหัวหน้าเซลล์ เราเลยรู้ว่าช่วงราคาที่ขายดีที่สุดของแบรนด์คือ 65-99 บาท หลายอย่างเราไม่อยากขายไปถึงหลักร้อยเลย แต่พอต้นทุนวัตถุดิบมันไม่ได้ เค้กบางตัวเราก็ต้องยอม

 

 

 

 

 

 

 

“หรือขนมหลายอย่าง ถามว่ามันอร่อยไหม มันก็อร่อยนะ แต่มันไม่ใช่เรา สุดท้ายเราต้องรู้จักแบรนด์ตัวเอง และรู้จักเลือกรับ เราต้องรู้ว่า อันนี้เรา อันนี้ได้ เห้ยอันนี้ไม่ได้ว่ะ อันนี้ไปก้าวก่ายแบรนด์อื่นเกินไป เช่น ชิบูย่าโทสต์ อร่อยไหม อร่อย แต่ใช่เราไหม ไม่ใช่ หรือ ดูไบช็อกโกแลต อะ เราพอไปกับกระแสได้นะ แต่ถ้าเป็นช็อกโกแลตบองบอง อาจจะไม่ใช่เราแล้ว เพราะถ้ามันแพง แล้วเราจะขายยังไง

 

 

 

 

“เราพูดกับทุกคนเสมอว่าถ้าอยากให้คนจดจำเรา เราต้องมีตัวตนก่อน เราต้องทำให้คนจำเราได้ แต่ถ้าเกิดคุณตามทุกคนในประเทศหมดเลย จะทำมันทุกอย่างเลย คนก็จะจำว่า ‘อ๋อนี่ไงร้านที่เหมือนร้านนั้นอ่ะ’… คือมันไม่ใช่บทบัญญัติหรอก แต่เราว่ามันคือการเคารพซึ่งกันและกัน ถ้าเราคิดแต่จะแข่งขันทั้งหมด คุณจะทำให้ทุกคนเกลียดแบรนด์คุณนะ”

 

 

 

 

 

 

 

แตกแบรนด์ โมเดิร์นเทรด และโฮเรก้า
กับการตั้งรับที่จะไม่เสีย DNA ของ Bake A Wish

 

 

 

 

“เคยมีคนถามเหมือนกันว่า เรามีสินค้าเยอะขนาดนี้ มีเมนูใหม่ทุกเดือน แล้ว signature ของ Bake A Wish คืออะไร เราก็บอกว่า Bake A Wish อ่ะ เดินผ่านแบบไม่ดูป้ายก็ยังรู้ว่าคือร้านเรา” – คุณวีจิพูดถึงบุคลิกของร้าน Bake A Wish สั้นๆ ง่ายๆ แล้วเราก็เห็นว่าจริงตามนั้นเสียด้วย

 

 

 

 

อาจเป็นความกุ๊กกิ๊กบางอย่าง ชุดน้องๆ พนักงาน หรือมวลบรรยากาศอะไรสักอย่างที่หน้าร้าน ที่ทำให้เรารู้ได้ทันทีว่านี้คือ Bake A Wish และทำให้เราอยากเข้าไปดูตู้เค้กทุกรอบที่เดินผ่านแม้ว่าตอนนั้นจะไม่ได้ตั้งใจจะซื้อเค้กอะไรเลยก็ตาม

 

 

 

 

 

 

 

“DNA ของเรา เราอยากให้มันเป็นความหลากหลายและความอร่อยนะ เพราะถ้าเทียบกับบทบาทต่างๆ ทั้งหมดที่ทำอยู่แล้ว เราก็ยังคิดว่าเรามีความเป็น baker มากกว่าความเป็นนักธุรกิจอยู่ดี

 

 

 

 

“เราอยากให้ขนมของเราอร่อย เวลาไปเห็นใครพูดว่าเดี๋ยวนี้ขนมเราไม่อร่อยเราจะเสียใจมากนะ จะว่าขนมเราหน้าตาเชยอะไรแบบนี้เราไม่ค่อยรู้สึกเท่าไร แต่ถ้าบอกว่าไม่อร่อยมันเจ็บมาก เรามีทีมที่คอยรับฟีดแบ็กอยู่ตลอด และส่วนตัวเราเอง เราแคร์คำพูดของคนกินมาก ขนาดที่ต้องบอกน้องในทีมว่า อย่าเอามาให้พี่อ่านหมดนะ ไม่อย่างนั้นพี่คงกระโดดตึก (หัวเราะ)

 

 

 

 

“อย่างที่บอกว่าเราเป็น R&D มากที่สุด เป็นคนทำขนมมากที่สุด มากกว่านักธุรกิจหรือตำแหน่งอื่นๆ ทั้งนั้น ดังนั้นมันก็จะมีบางเรื่องที่ ตัดได้นะ ตัดแล้วจะประหยัดไปได้อีกเยอะ แต่เราไม่ตัด (หัวเราะ) ทำไมแพ็กเกจต้องเป็นแบบนี้ ทำไมชุดพนักงานต้องเป็นแบบนี้ ทำไมต้องใช้ถุงกระดาษ ถ้าเรามุ่งไปทางธุรกิจมากขึ้นเราคงยอมตัดเรื่องพวกนี้ออก แต่พอเราตั้งต้นมาจากการเป็นคนทำขนม มันก็จะมีความฟุ่มเฟือยพวกนี้อยู่ เรายังชอบทำขนม ยังอยากใช้ช็อกโกแลตที่ดี อยากให้ขนมเราสวย อยากให้ร้านเราน่ารัก ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องผ่านการงัดง้างกับฝั่งนักธุรกิจในตัวเราอยู่ตลอด (หัวเราะ)”

 

 

 

 

แม้จะออกตัวว่าเป็นคนทำเบเกอรีมากกว่าคนทำธุรกิจ แต่คุณวีจิและทีมบริหารก็ประคับประคองให้ Bake A Wish ผ่านความเปลี่ยนแปลงมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

 

 

 

 

“อย่างช่วงที่มีโรคระบาด หน้าร้านเราโดนปิดเกือบทั้งหมด เพราะเราอยู่ในห้างฯ หมดเลย ก็ต้องมาคิดแล้วว่าทำอย่างไร Bake A Wish ยังอยู่ได้ ก็เริ่มหาทางบุกเข้าตลาดโมเดิร์นเทรด เริ่มปรับจากการโฟกัสที่สาขา มาเป็นการส่งขนมเข้าร้านสะดวกซื้อ เพราะร้านสะดวกซื้อไม่โดนปิด โชคดีที่เรามี NSL Foods มาร่วมทุนแล้วก็ร่วมผลักดัน ตอนนี้ขนมของ Bake A Wish เลยอยู่ในร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศไปเรียบร้อย (ยิ้ม)

 

 

 

 

 

 

 

“หรืออย่าง Yoko Donut and John’s Lemon อีกแบรนด์ที่เราแตกออกมา ตอนนี้เราก็ส่งเข้าร้านสะดวกซื้อเหมือนกัน เพราะเราพบว่ามายด์เซ็ตในการซื้อขนมตามคาเฟ่ กับมายด์เซ็ตในการซื้อขนมจากร้านสะดวกซื้อมันต่างกันมาก ถ้าเรามีหน้าร้าน โดนัทนี่เราจะขายได้แค่ 1 วันเท่านั้น เพราะหน้าร้านเราขายแบบแช่เย็นไม่ได้ ขายแบบอยู่ในบรรจุภัณฑ์ไม่ได้ คนไม่ได้อยากซื้อสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ในคาเฟ่ แต่พอเป็นร้านสะดวกซื้อ คนโอเคกับการแช่เย็น การอยู่ในบรรจุภัณฑ์ แล้วมันทำให้โดนัทเรามีชีวิตที่ยาวนานขึ้น เราเป็นคนทำขนม เราก็ไม่อยากทิ้งขนมของเราใช่ไหมคะ

 

 

 

 

“นอกจาก Yoko แล้ว ตอนนี้เราก็จะมี Bake A Wish Baker ที่ทำขนมอบสดเพิ่มมาอีก เพราะเทรนด์เบเกอรีเดี๋ยวนี้คนชอบกินขนมอบสด ได้กลิ่นหอมๆ ที่ร้านเลย มีขนมปังเกลือ มีมัทฉะเกรดพิธีการ เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ใหม่ แล้วก็มี Bake A Wish Pastry ที่เน้นเพรสทรีไปเลย อบใหม่เหมือนกัน เพราะเราไปต่างประเทศเห็นร้านเขาทำเพสทรีสวยๆ แล้วเราก็อยากทำ อยากให้ Bake A Wish มีแบบนั้นบ้าง อยากให้คนได้กินเพสทรีที่อร่อยแบบราคาไม่ต้องแพงมาก ก็เลยแตกแบรนด์ออกมาดีกว่า

 

 

 

 

“ส่วนขนมแพ็กๆ แบบนี้ เอาจริงๆ คือเราอยากบุกร้านหมูกระทะ (หัวเราะ) ดังนั้นเราก็จะมี Bake A Wish Horeca & OEM ที่ขายขนมยกแพ็ก ราคาสมเหตุสมผล คือธุรกิจสามารถมาเลือกจากแคตตาล็อกของเราได้เลย สะดวก ไม่แพง แต่ก็ยังสวยและอร่อยนะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Bake A Wish แม้จะมีอายุถึง 18 ปีแล้ว แต่ก็ยังปรับตัวไปตามเทรนด์ธุรกิจเบเกอรีอยู่เสมอ แถมคุณวีจิยังกระซิบบอกเราด้วยว่า ช่วงนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการ ‘รีเฟรช’ แบรนด์ครั้งใหญ่อีกครั้งด้วยเหมือนกัน

 

 

 

 

“สิบกว่าปีที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้อะไรจากการทำ Bake A Wish บ้างเหรอ?…

 

 

 

 

“เราว่าสนุก ชีวิตเราสนุกดี โลดโผนดี เราเจออะไรมาเยอะแยะ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าดีใจคือ Bake A Wish มันไม่ได้หายไป แน่นอนว่าบางช่วงอาจจะกระแสตก บางช่วงอาจจะเจอปัญหา แต่เราไม่ปล่อยให้เขาหายไป เพราะเรารักเขาอะ รักเขาเหมือนลูกสาวเลย ทุกแบรนด์คือลูกสาวลูกชายเราหมดและเรารู้สึกว่าเราอยากอยู่เพื่อได้เห็นเขาเติบโตจริงๆ”

 

 

 

 

 

 

 

บทเรียนจากคนทำธุรกิจเบเกอรี ถึงคนทำธุรกิจเบเกอรี

 

 

 

 

“ไม่ว่าจะร้านเค้กตลาดนัด คาเฟ่ หรือร้านเชนอะไรก็ตาม จริงๆ เราทำอาชีพเดียวกันนะคะ แค่สเกลมันต่างกัน ดังนั้นสิ่งแรกที่อยากบอกเลยคือ คิดต้นทุนดีๆ (หัวเราะ) เราเคยผ่านช่วงที่คิดต้นทุนไม่ละเอียดมาแล้ว รั่วไหลเยอะเหมือนกัน เราไม่ได้คิดค่าจิปาถะอะไรมากมาย แล้วมันจะเหนื่อยเปล่า ถ้าอยากให้ธุรกิจโต ต้องมีระบบการคิดต้นทุนที่ดี

 

 

 

 

“ข้อต่อมาคือ จงเป็นตัวของตัวเอง เราว่าการจะทำธุรกิจให้ยืนยาวนะ มันเริ่มมาตั้งแต่การตั้งชื่อแล้ว อย่าไปตั้งชื่อซ้ำใคร อย่าลอกใคร เพราะเราไม่รู้หรอกว่าวันไหนเราจะดังอะ พยายามหาจุดขายหลักของเรา ตัวตนที่แข็งแรงของเราให้เจอ แล้วให้คนจำเราที่เป็นเราดีที่สุด

 

 

 

 

“สุดท้ายคือซื่อสัตย์กับอาชีพตัวเอง คือเมื่อคุณทำขนม คุณก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีให้กับให้กับคนกินของคุณ อย่าคิดแค่ว่าขาย 3 เดือน 5 เดือนไป ลองคิดว่า สิ่งที่เราทำเราอยากกินไหม เราอยากให้ลูกหลานเรากินไหม แค่นั้นเลยค่ะ มีสามข้อนี้แล้วที่เหลือเดี๋ยวเราจะหาทางแก้ปัญหา หาทางปรับตัวไปได้เอง”

Share this content

Contributor

Tags:

คุยกับผู้ผลิต, เบเกอรี

Recommended Articles

Food StoryConfetti เกล็ดน้ำตาลหลากสีที่เปลี่ยนโลกของเบเกอรีไปตลอดกาล
Confetti เกล็ดน้ำตาลหลากสีที่เปลี่ยนโลกของเบเกอรีไปตลอดกาล

Confetti มาจากไหน เป็นรสอะไร และทำไมชาวเบเกอรีถึงรักมันมากนัก

 

Recommended Videos