เปิด "ตำราอาหาร" ได้ที่นี่

 

food story

ทำไมสุดยอดมันหวาน ต้องเป็นมันหวานจากญี่ปุ่น?

Story by เสาวลักษณ์ เชื้อคำ

ไขเคล็ดลับมันหวานญี่ปุ่น วัตถุดิบญี่ปุ่นแท้ ความอร่อยที่ส่งตรงจากญี่ปุ่น

พืชตระกูลหัวใต้ดิน โดยเฉพาะหัวมัน เป็นอาหารที่มนุษย์ทั่วโลกรู้จักปลูกและแปรรูปมานาน เพราะให้พลังงานสูง อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญ ในยุคที่ระบบอุตสาหกรรมอาหารยังไม่ก้าวหน้าอย่างในปัจจุบัน การปลูกพืชหัวที่ให้พลังงานสูงๆ เหล่านี้ได้นับว่าเป็นความมั่นคงทางอาหารอย่างหนึ่ง

 

 

 

 

ในปัจจุบันที่วิทยาการและอุตสาหกรรมด้านอาหารพัฒนามากขึ้นแล้ว พืชธรรมดาๆ อย่างมันประเภทต่างๆ ก็ยังไม่ได้หายไปจากอาหารการครัวของโลก เหตุผลหนึ่งก็อาจเป็นเพราะความนุ่มฟูของมันที่ปรุงสุกแล้วยังเป็นรสชาติที่ทำให้คนเรารู้สึกอบอุ่นและสุขใจเสมอ

 

 

 

 

 

 

 

 

นอกจากมันชนิดต่างๆ จะยังอยู่ในตำรับอาหารทั่วโลกแล้ว วิทยาการในการผลิตอาหารก็ยังทำให้เรามีผลผลิตที่มีคุณภาพขึ้น อร่อยขึ้น อย่างเช่นมันหวานจากประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความพิถีพิถันในเรื่องอาหารสุดๆ อย่างประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง

 

 

 

 

แม้มันหวานจะเป็นพืชที่ปลูกกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก แต่มันหวานจากญี่ปุ่นกลับเป็นที่นิยมสูงกว่ามันหวานจากแหล่งผลิตอื่นๆ เพราะมีรสชาติหวานฉ่ำ เนื้อเนียนละเอียด นุ่มหนึบตามธรรมชาติ เรียกได้ว่ากินมันหวานจากที่ไหนก็ไม่เหมือนมันหวานจากญี่ปุ่น แค่มันเผาร้อนๆ จากร้านสะดวกซื้อข้างทางในญี่ปุ่นก็อร่อยจนหลายคนยกให้เป็นของหวานชั้นยอด

 

 

 

 

 

 

 

เคล็ดลับความอร่อยเฉพาะตัวนี้ เกิดขึ้นจากความพิถีพิถันในการผลิต ซึ่งเริ่มตั้งแต่การศึกษาลักษณะเด่นของมันหวานสายพันธุ์ต่างๆ แล้วปรับหาวิธีการที่จะขับเน้นความอร่อยของมันหวานแต่ละสายพันธุ์ออกมาให้ได้ดีที่สุด ไล่เรียงมาตั้งแต่การปรับปรุงสายพันธุ์ การเตรียมดิน ปุ๋ย การเพาะปลูก ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว เพื่อให้ผลผลิตมันหวานรสชาติดีที่สุด

 

 

 

 

ขั้นตอนหนึ่งที่เป็นเคล็ดลับสำคัญก็คือการพักบ่ม (Curing) หลังการเก็บเกี่ยว คือ เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตมันหวานมาได้แล้ว จะต้องนำมาบ่มด้วยความร้อนและความชื้นสูง แล้วพักไว้ในที่เย็นต่ออีก 2-4 สัปดาห์ ในโกดังที่ผ่านการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสมเท่านั้น การพักบ่มผลผลิตจะช่วยให้ผลผลิตมันหวานมีลักษณะที่ดีขึ้น เก็บรักษาได้นานขึ้นโดยไม่มีกลิ่น เช่นมันหวานสายพันธุ์ ‘เบนิเทนชิ‘ จากจังหวัดอิบารากิ ที่เมื่อพักบ่มอย่างเหมาะสมก็จะมีการพัฒนารสชาติขึ้นชนิดที่ว่าเมื่อนำไปเผาแล้วก็สามารถวัดค่าความหวานได้มากถึง 47 องศาบริกซ์เลยทีเดียว

 

 

 

 

นอกจากรสหวานฉ่ำตามธรรมชาติแล้ว มันหวานสายพันธุ์เบนิเทนชิยังมีจุดเด่นที่เนื้อสัมผัสเหนียวหนึบ นุ่มเนียน กินอร่อยทั้งตอนที่เผาเสร็จร้อนๆ และตอนที่พักไว้จนเย็น ความนุ่มเนียนของมันหวานเบนิเทนชินั้นอยู่ในระดับที่ว่า ต่อให้แช่เย็นแล้วก็ยังคงนุ่มเนียน เหมาะกับจะนำมาทำขนมและเบเกอรีต่างๆ เลยขอชวนชาวครัวมาทำขนมง่ายๆ อย่างเครมบูเล จากมันหวานญี่ปุ่นสายพันธุ์เบนิเทนชิกัน

 

 

 

 

 

 

 

สูตรนี้เป็นการจับมันหวานอบมาแต่งเครื่องเพิ่มด้วยองค์ประกอบของเครมบูเล จึงเป็นของหวานที่มีทั้งรสชาติรูปลักษณ์ดั้งเดิมของมันหวาน และมีทั้งกลิ่นหอมๆ ของคัสตาร์ตกับน้ำตาลไหม้มาเพิ่มมิติในการรับประทาน ที่สำคัญคือทำง่าย ขั้นตอนน้อย แต่อร่อย หน้าตาดีและถ่ายรูปขึ้นกล้อง รับรองว่ามือโปรหรือมือใหม่ก็ทำได้แน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

มันหวานญี่ปุ่นสายพันธุ์เบนิเทนชิ เป็นหนึ่งในวัตถุดิบคุณภาพที่องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (หรือ ‘เจโทร’) สนับสนุนให้มีการนำเข้ามาในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ภายใต้โครงการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์วัตถุดิบหรือสินค้าอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับร้านอาหารและร้านค้าปลีกในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ.2567

 

 

 

 

องค์การฯ มีการสนับสนุนในหลายด้านหลายระดับ รวมถึงในระดับเจาะจง เช่น มุ่งเน้นไปยังร้านอาหารและร้านค้าปลีกในภาคเหนือและภาคอีสานที่มีการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น กลยุทธ์หลักคือการเผยแพร่ข้อมูลเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบนำเข้าจากญี่ปุ่น พร้อมนำเสนอสูตรอาหารที่สามารถนำวัตถุดิบไปปรุงได้อย่างหลากหลายและสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมในมีการบริโภคและนำเข้าสินค้าอาหารคุณภาพจากประเทศญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

 

 

 

 

มันหวานญี่ปุ่นเครมบูเล
สำหรับ 4 คน

 

 

 

 

– มันหวานญี่ปุ่น (หัวละ 260-280 กรัม) 4 หัว
– วิปปิ้งครีม 1 ถ้วย
– ไข่แดงไข่ไก่ 2 ฟอง
– น้ำตาลทรายขาว 30 กรัม
– แป้งข้าวโพด 10 กรัม
– กลิ่นวานิลลา ½ ช้อนชา
– เกลือป่น ⅛ ช้อนชา
– น้ำตาลทรายขาวสำหรับโรย
– อุปกรณ์ อะลูมิเนียมฟอยด์ โบลว์ทอร์ช

 

 

 

 

วิธีทำ
ห่อมันหวานด้วยอะลูมิเนียมฟอยด์ นำเข้าอบในเตาอบที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส นาน 2 ชั่วโมง

 

 

 

 

 

 

 

2. ระหว่างรอ เตรียมครีมโดยใส่วิปปิ้งครีม ไข่แดงไข่ไก่ น้ำตาลทราย แป้งข้าวโพด กลิ่นวานิลลาและเกลือป่นรวมกันในหม้อ คนด้วยตะกร้อมือให้เข้ากัน ยกหม้อขึ้นตั้งไฟกลางค่อนอ่อน หมั่นคนตลอดเวลาจนเนื้อครีมมีลักษณะข้น ปิดไฟ พักไว้ให้เย็นตัวดี

 

 

 

 

 

 

 

3. เมื่อมันหวานอบสุกแล้ว แกะอะลูมิเนียมฟอยด์ออก ใช้มีดผ่ามันหวานตามแนวยาว แบะเนื้อให้แยกออกจากกันเล็กน้อย จากนั้นใช้ส้อมหรือช้อนขูดเนื้อมันรอบๆ เกลี่ยให้เรียบลักษณะเป็นหลุมสำหรับใส่ครีม

 

 

 

 

 

 

 

จากนั้นตักครีมใส่ลงไปให้เต็ม โรยด้วยน้ำตาลทรายด้านบนให้ทั่ว ใช้โบลว์ทอร์ชเผาน้ำตาลให้ออกไหม้สีเป็นคาราเมล เสิร์ฟทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

#JapanPremiumFood #Japanesefoodsupporter

Share this content

Contributor

Recommended Articles

Food Storyกินแจ่วฮ้อน กับ “PEAR is hungry” Food blogger ผู้เชื่อว่าสายกินและสายกรีนไปด้วยกันได้
กินแจ่วฮ้อน กับ “PEAR is hungry” Food blogger ผู้เชื่อว่าสายกินและสายกรีนไปด้วยกันได้

คุยกับ แพร – พิมพ์ลดา ไชยปรีชาวิทย์ นักกินที่ชวนทุกคนมาจัดการขยะอาหารด้วยการ #กินหมดจาน

 

Recommended Videos